วันอาทิตย์, สิงหาคม 30, 2552

เทคนิคการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์สำหรับตนเอง

๑. รู้ทัน ฝึกรู้เท่าทันอารมณ์ตนเอง บอกกับตัวเองได้ว่าขณะนี้กำลังรู้สึกอย่างไร และรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ที่เกิดขึ้น ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตนเอง ยอมรับข้อบกพร่องของตนเองได้ แม้เมื่อผู้อื่นพูดถึง ก็สามารถเปิดใจรับมาพิจารณา เพื่อที่จะหาโอกาสปรับปรุงหรือใช้เป็นข้อเตือนใจที่จะระมัดระวังการแสดงอารมณ์มากขึ้น

๒. รับผิดชอบ เมื่อเกิดความหงุดหงิด ไม่พอใจ ท้อแท้ ให้ฝึกคิดอยู่เสมอว่า อารมณ์ที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นเองจากการกระตุ้นของปัจจัยภายนอก เพราะฉะนั้นจึงควรรับผิดชอบต่ออารมณ์ที่เกิดขึ้น และควรหัดแยกแยะ วิเคราะห์สถานการณ์ด้วยเหตุผล ไม่คิดเอาเองด้วยอคติหรือประสบการณ์เดิม ๆ ที่มีอยู่ เพราะอาจทำให้การตีความในปัจจุบันผิดพลาดได้

๓. จัดการได้ อารมณ์ไม่ดีที่เกิดขึ้นสามารถคลี่คลายสลายให้หมดไปด้วยการรู้เท่าทันและหาวิธีจัดการที่เหมาะสม เช่น ไม่จ่อมจมอยู่กับอารมณ์นั้น พยายามเบี่ยงเบนความสนใจ โดยหางานหรือกิจกรรมทำ เพื่อให้ใจจดจ่ออยู่กับงานนั้น เป็นการสร้างความเพลิดเพลินใจขึ้นมาแทนที่อารมณ์ไม่ดีที่มีอยู่

๔. ใช้ให้เป็นประโยชน์ ฝึกใช้อารมณ์ส่งเสริมความคิด ให้อารมณ์ช่วยปรับแต่งและปรุงความคิดให้เป็นไปในทางที่มีประโยชน์ ฝึกคิดในด้านบวกเมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ในการทำงาน

๕. เติมใจให้ตนเอง โดยการหัดมองโลกในแง่มุมที่สวยงาม รื่นรมย์ มองหาข้อดีในงานที่ทำ ชื่นชมด้านดีของเพื่อนร่วมงาน เพื่อลดอคติและความเครียดในจิตใจ ทำให้ทำงานร่วมกันอย่างมีความสุขมากขึ้น

๖. ฝึกสมาธิ ด้วยการกำหนดรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ รู้ว่าปัจจุบันกำลังสุขหรือทุกข์อย่างไร อาจเป็นสมาธิอย่างง่าย ๆ ที่กำหนดจิตใจไว้ที่ลมหายใจเข้าออก การทำสมาธิช่วยให้จิตใจสงบ และมีกำลังใจในการพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้น

๗. ตั้งใจให้ชัดเจน โปรแกรมจิตใจตนเอง ด้วยการกำหนดว่าต่อไปนี้จะพยายามควบคุมอารมณ์ให้ได้ และตั้งเป้าหมายในชีวิตหรือการทำงานให้ชัดเจน

๘. เชื่อมั่นในตนเอง จากงานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า คนที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง จะมีความสำเร็จในการทำงานและการเรียนมากกว่าคนที่ไม่เชื่อมั่นในความสามารถของตนเอง

๙. กล้าลองเพื่อรู้ การกล้าที่จะลองทำในสิ่งที่ยากกว่าในระดับที่คิดว่าน่าจะทำได้ จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ตนเอง และเป็นโอกาสสำคัญที่จะได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาความสามารถให้มากยิ่ง ๆ ขึ้นไป

ฉลาดทางอารมณ์ = ฉลาดคิด+ ฉลาดพูด + ฉลาดทำ
ฉลาดคิด ---> ควบคุมความคิดได้ คิดในทางที่ดี คิดในทางสร้างสรรค์
ฉลาดพูด ---> เลือกพูดแต่สิ่งที่ดี มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงคำพูดที่จะทำให้คนเองและบุคคลอื่นเดือดร้อน
ฉลาดทำ ---> "ทำเป็น" ไม่ใช่แค่ "ทำได้" มีความรู้ความเชี่ยวชาญในงานนั้น ๆ

ความฉลาดทางอารมณ์กับความรักและครอบครัว
ครอบครัวที่จะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ต้องอาศัยความรัก ความเข้าใจและยอมรับได้ในข้อบกพร่องของผู้อื่น อีคิวหรือความฉลาดทางอารมณ์ จึงมีผลอย่างมากต่อความสงบสุขในบ้าน หรือในชีวิตคู่ ปัญหาความแตกแยก หย่าร้างที่เกิดขึ้นล้วนมีต้นตอมาจากการไม่พยายามทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน หรือยอมรับข้อบกพร่องของอีกฝ่ายไม่ได้ เมื่อมีปัญหาก็ไม่หันหน้าคุยกันดี ๆ หรือบางทีก็ใช้ความรุนแรง

ความฉลาดทางเชาวน์ปัญญา จึงไม่ใช่ปัจจัยที่จะทำให้คนสองคนไปกันรอด ตรงกันข้าม ถ้าคนเก่งสองคนอยู่ด้วยกัน แล้วไม่ยอมกันพยายามที่จะเอาชนะคะคานกัน อนาคตก็คงไม่พ้นการหย่าร้าง ด้วยเหตุนี้ คนเก่ง ๆ จำนวนไม่น้อย ที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน จึงล้มเหลวในชีวิตคู่

การเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตคู่ ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว อุปสรรคและปัญหาแตกต่างกันไปในแต่ละคู่ การเรียนรู้ธรรมชาติและความต้องการของแต่ละฝ่ายจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง
การเรียนรู้จะทำให้เราเข้าใจตัวเองและคนที่เรารักได้ดียิ่งขึ้น เพราะเมื่อคนเรามีความข้าใจ ความยอมรับได้ก็จะตามมาการรู้ธรรมชาติของชายหญิง จะช่วยให้เราอ่านใจ อ่านอารมณ์ของอีกฝ่ายออก ว่าเขากำลังรู้สึกอย่างไร และต้องการอะไร ทำให้เราสามารถปฏิบัติตัวได้ถูกต้อง และถูกใจคนที่เรารัก
แน่นอนว่า ในการเรียนรู้เรื่องความรักและการอยู่ร่วมกัน "หัวใจ" เท่านั้นที่มีความสำคัญในเรื่องนี้

ความฉลาดทางเชาวน์ปัญญาจึงไม่ช่วยอะไรมากนักกับการประคองนาวารักของคนสองคน
ในทางจิตวิทยา กล่าวถึงอีคิวกับการสร้างความอบอุ่นในครอบครัวเอาไว้ว่า
๑. สนใจ และเข้าใจในความกังวลของคนในครอบครัว
๒. รับรู้และสามารถตอบสนองต่อความต้องการของคนในครอบครับได้ดี
๓. รู้และเข้าใจศักยภาพ ส่งเสริมความรู้ความสามารถของสมาชิกในครอบครัวให้ถูกทาง
๔. ความจริงใจต่อกัน เป็นรากฐานของความผูกพันทางอารมณ์ที่ลึกซึ้ง

ที่มาและผู้แต่ง : กรมสุขภาพจิต

ถูกนินทาว่าร้าย คิดอย่างไรจึงจะหายทุกข์

1. เป็นธรรมดาของโลก ให้คิดว่านี่เป็นธรรมดาของโลก ไม่เคยมีใครสักคนบนโลกนี้ที่รอดพ้นจากคำนินทา เพราะแม้แต่พระพุทธเจ้าของเรา ขนาดท่านเป็นผู้ที่ประเสริฐบริสุทธิ์สูงสุด แต่ท่านก็ยังไม่พ้นถูกคนพาลกล่าวโจมตีว่าร้ายจนได้ แล้วนับประสาอะไรกับเราที่เป็นแค่คนธรรมดาสามัญที่ยังมีทั้งดีและชั่วจะรอดพ้นปากคนนินทาไปได้ คิดอย่างนี้แล้วจะได้สบายใจว่า การถูกนินทานี่เป็นแค่เรื่องธรรมดา เกิดขึ้นมาพร้อมกับโลก (โลกธรรม) และ ยังคงมีอยู่ต่อไปตราบชั่วฟ้าดินสลาย
2. ให้มีจิตใจมั่นคงดุจภูผา ถ้าเรามีความบริสุทธิ์ใจ ทำการงานด้วยความตั้งใจปรารถนาดี แต่แล้วก็ยังไม่พ้นถูกคนนินทา กล่าวร้ายว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ขอให้เรามีความมั่นใจในความดีของเรา อุปมาภูผาหินแท่งตันไม่หวั่นไหวในลมพายุฉันใด บัณฑิตผู้มีจิตใจหนักแน่นในความดี ย่อมไม่หวั่นไหวในคำสรรเสริญ และ คำนินทาแม้ฉันนั้น
3. ให้มีจิตเมตตาสงสารผู้นินทา ให้คิดด้วยความเมตตากรุณาว่า คนที่นินทาเรานั้น ย่อมกระทำไปด้วยความอิจฉาริษยา เขาจะต้องเผาลนจิตใจของเขาให้ร้อนรุ่มเสียก่อน จึงจะสามารถพูดนินทาว่าร้ายคนอื่นออกมาได้ ให้คิดเมตตาสงสาร แทนที่จะไปโกรธเคืองเขา
อนึ่ง คนที่ชอบกล่าววาจาส่อเสียด หรือ ชอบนินทาว่าร้ายผู้อื่น โดยปรกติเขาย่อมเป็นผู้หามิตรสหายที่ใกล้ชิดไม่ค่อยได้ เพราะไม่เคยมีใครไว้วางใจคนที่ชอบนินทาว่าร้ายผู้อื่น ให้คิดเห็นใจเขาในฐานะที่เขาต้องเป็นผู้อยู่ในโลกนี้ด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยว เพราะเขาย่อมหาเพื่อนแท้ไม่ได้
4. คิดหาประโยชน์จากคำนินทา คนที่คิดกล่าวร้ายเรา บางทีเขาต้องไปนั่งคิดนอนคิดหาจุดอ่อนในตัวของเรา เพื่อเอามาพูดโจมตี บางทีจุดอ่อนเหล่านี้ตัวเราเองก็มีอยู่จริงแต่ทว่าเราไม่รู้ตัวมาก่อน นี้เป็นประโยชน์มาก เพราะเราสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาพัฒนาปรับปรุงตนเองได้ ดังนั้นเราจึงควรที่จะขอบคุณคนนินทาเรา เพราะเขาอุตส่าห์ไปนั่งคิดนอนคิดช่วยค้นหาข้อมูลมาช่วยให้เราปรับปรุงตนเอง
5. คิดวิเคราะห์ให้เห็นปัญหาสังคม สังคมไทยเป็นสังคมที่มีความสัมพันธ์ในแนวดิ่ง คือเน้นเรื่องการใช้อำนาจครอบงำกันและกัน จึงมีการปลูกฝังสอนให้คิดแข่งดีแข่งเด่น คิดเหนือผู้อื่น สอนให้อยากเป็นใหญ่เป็นโต (มานะ) มาตั้งแต่โบราณ (คาดว่าไม่ต่ำกว่าห้าร้อยปี คือตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น) ทำให้คนไทยเรา เวลาเห็นใครทำดี ก็มักจะเกิดความริษยาโดยไม่รู้ตัว คือทนไม่ได้ที่จะเห็นคนอื่นดีกว่าตน สังคมที่มีความสัมพันธ์ในแนวดิ่งเช่นนี้ ผู้คนจึงมักจะชอบนินทาว่าร้ายกันและกันเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าคิดวิเคราะห์ได้เช่นนี้แล้วก็สบายใจ ไม่ต้องไปเดือดเนื้อร้อนใจอะไรมาก ให้ถือว่าการที่เราถูกนินทานี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ทางสังคมก็แล้วกัน มันเป็นเช่นนั้นเอง
ในอนาคตไม่แน่ หากมีการศึกษาเรื่องพุทธธรรมกับสังคมไทยกันอย่างจริงจัง บางทีเราอาจจะสามารถเปลี่ยงแปลงความสัมพันธ์ทางสังคมจาก "แนวดิ่ง" ให้เป็น "แนวราบ" คือ คนไทยมีความเสมอภาคกัน ไม่ถืออำนาจเป็นใหญ่ แต่ถือความถูกต้องดีงามเป็นใหญ่ เมื่อถึงเวลานั้นสังคมที่เต็มไปด้วยการนินทาว่าร้ายก็จะลดน้อยลงไปเองตามธรรมชาติ แล้วภาษิตยอดฮิตที่ว่า "สังคมเสื่อมถอยเพราะคนดีท้อแท้" หรือ "ทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย" จะได้เลิกใช้กันเสียที

ที่มา : http://www.budpage.com/

ยังไม่จน...อยู่อย่างจน...จะไม่จน


          ยังไม่รวย...อยู่อย่างรวย...จะไม่รวย...ยังไม่จน...อยู่อย่างจน...จะไม่จน...หลายท่านอาจเคยได้ยินประโยคนี้มาบ้างแล้ว ใครที่เคยเห็นเคยได้ยินผ่านหูผ่านตามาแล้ว หรือใครยังไม่เคยได้ยินมาก่อน ลองอ่านซ้ำอีกสักรอบ แล้วมาคิดกันเล่นๆ ค่ะว่า คำกล่าวประโยคนี้ให้อะไรแก่เราบ้าง
สาระสำคัญอย่างแรกที่ส่งออกมา น่าจะเป็นการกระตุ้นเตือนใจให้เราได้คิดทบทวนเพื่อประมาณฐานะของตนเองว่า เรารวยหรือยัง? หรือว่า เราจนหรือเปล่า? เรายังไม่รวย หรือเรายังไม่จน? หลายคนตอบคำ
ถามเกี่ยวกับตัวเองไม่ค่อยจะได้ เพราะเวลาในแต่ละวันหมดไปกับการจัดการธุระ การงาน อาชีพ หรือมัวแต่จัดการกับบุคคลอื่น ไม่ว่าจะเป็นลูกน้อง ลูกค้า บุตรหลาน สามี ภรรยา เพื่อนฝูง พี่น้อง จนไม่เหลือเวลาไว้ดูแลจัดการตัวเอง หากเราได้ลองพิจารณาตัวเองอย่างจริงจังดูสักที เราอาจจะได้คำตอบหลายๆ อย่างที่จะทำให้เราใช้ชีวิตได้อย่างสุขใจมากขึ้น
เพราะหากเราจัดการตัวเองได้ รู้ฐานะที่แท้จริงของตัวเอง เข้าใจตัวเองมากขึ้น เราก็จะเข้าใจคนอื่นได้มากขึ้น รู้ทันสิ่งต่างๆ รอบตัวเรามากขึ้น การวิ่งวุ่นไปตามสังคม ตามเพื่อน ตามคนอื่น เพื่อ Update ไม่ให้ตก Trend ก็จะเป็นไปอย่างพอเหมาะพอควรแก่ฐานะ
           การตรวจสอบฐานะที่แท้จริงของตัวเองทำได้ง่ายๆ โดยการรวบรวมข้อมูลทางการเงินทั้งหมด แล้วแยกเป็นหมวดหมู่ให้ชัดเจนว่า เรามีข้าวของ สมบัติต่างๆ ประเมินมูลค่าได้เท่าไร แล้วยังเป็นหนี้เป็นสินอยู่อีกเท่าไร เราจะจนหรือจะรวย ก็ขึ้นอยู่ที่ว่าทรัพย์สินที่เรามีอยู่ไม่ว่าจะเป็น บ้าน รถยนต์ เครื่องประดับ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ชุดโฮมเธียเตอร์ เครื่องครัว เฟอร์นิเจอร์ กระทั่งเสื้อผ้าอาภรณ์เหล่านั้น เมื่อหักกลบลบกับหนี้สินแล้ว ตัวเลขที่ได้ติดลบหรือไม่... คนจำนวนไม่น้อย ประเมินฐานะความรวยจากสิ่งที่มี สิ่งที่เห็น หรือจากสินทรัพย์เพียงด้านเดียว ซึ่งไม่ถูกต้องนัก เพราะการมีข้าวของเครื่องใช้ สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ในขณะที่ยังมีภาระหนี้สินรุงรังจากข้าวของเหล่านั้นย่อมไม่ได้แสดงฐานะที่แท้จริง เพราะความสบายกายที่ได้จากสิ่งของเหล่านี้ ไม่สามารถสร้างความสุขใจได้เสมอไป
เมื่อรู้ฐานะที่แท้จริงแล้ว ลองถามตัวเองต่อไปว่า ปัจจุบันเราใช้ชีวิตแบบใด เราอยู่อย่างรวย หรืออยู่อย่างจน? ใครตอบคำถามนี้ไม่ได้ ให้ลองทำบันทึกการใช้จ่ายของตัวเองดู รับรองรู้ชัดแจ้ง เห็นจริงว่าพฤติกรรมทางการเงินของตัวเองเป็นแบบอยู่อย่างรวย หรืออยู่อย่างจน...บันทึกการใช้จ่ายนี้ทำง่ายๆ เพียงแค่จด จด จด จดตามจริง มีรายได้เท่าไร มีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นเท่าไร อะไรบ้าง ลองจดดูสักอาทิตย์ สองอาทิตย์ รับรองรู้แน่ๆ ว่าอยู่อย่างจน หรืออยู่อย่างรวย
            ปัญหาทางการเงินคงจะไม่เกิด หากเราใช้จ่ายน้อยกว่าที่หาได้เสมอ การใช้จ่ายเงินของเรามีกรอบอยู่ที่รายได้ที่หาได้ หลายคนใช้จ่ายเงินได้เยอะ เพราะหาเงินได้เยอะ การเปรียบเทียบการใช้จ่ายของตนเองกับคนอื่น จึงไม่ถูกต้องนักเพราะรายได้ที่ไม่เท่ากัน ไม่เช่นนั้นอาจเข้าทำนอง... เห็นช้างขี้ ขี้ตามช้าง... ยิ่งในปัจจุบัน ซึ่งเป็นหนี้ได้ง่าย เป็นหนี้ได้ทุกที่ เป็นหนี้ได้ทุกอย่าง เพราะสินค้าแทบทุกชนิด รอพร้อมให้เราซื้อเงินผ่อนได้แทบทุกห้างร้าน การขี้ตามช้างจึงทำได้ไม่ยากนัก ยิ่งง่าย...ยิ่งอันตราย
              นอกจากนี้ ยังมีค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ ที่สามารถประหยัดได้อีกมากมาย ที่หลายคนมองข้าม ไม่เห็นค่าของเงินเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่น หลายบ้านติด Cable TV ที่มีค่าใช้จ่ายรายเดือน หรือใช้บริการ package ราคาสูง ที่มีหลายร้อยช่องให้เลือกดูทั้งที่ไม่ค่อยอยู่บ้าน หากลองปรับเปลี่ยนให้ราคาถูกลงจะประหยัดได้เดือนละหลายร้อยบาท ปีละหลายพันบาท หรือการชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ ผ่านเคาน์เตอร์ที่คอยอำนวยความสะดวกให้เรา แต่มีค่าธรรมเนียม แม้จะเป็นเงินเดือนละไม่กี่สิบบาท แต่หลายๆ รายการรวมกัน ทุกเดือน ทุกเดือน จนเป็นปี รวมๆ กัน เงินจำนวนนี้ รวมแล้วไม่น้อยเลยทีเดียว
               หรือแม้กระทั่งกาแฟที่เราซื้อทุกวัน วันละสอง สามแก้ว ลองรวมค่ากาแฟ รายวัน รายเดือน และรายปีดูจะเห็นชัดเจนว่า ค่ากาแฟรวมแล้วเป็นเงินไม่น้อยเลย แล้วพอรวมค่า Cable TV ค่าธรรมเนียมความสะดวกสบาย ค่ากาแฟ ค่าน้ำอัดลม ค่าขนมขบเคี้ยว ค่ารองเท้าคู่ที่ยี่สิบ ค่ากระเป๋าใบที่แปด ค่าใช้จ่ายที่รั่วออกจากกระเป๋าเราเหล่านี้
              หากนำไปซื้อทองคำ ไปลงทุน ไปซื้อกองทุนรวมรับรองกลายเป็นเงินก้อนเป็นกอบกำแน่นอน อย่างที่ฝรั่งเรียกว่า "Latte Effect" หรือผลกระทบจากกาแฟลาเต้ ซี่งที่มีผลต่อความมั่งคั่งของเรา เพราะหากเรามองข้ามเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน... สะสมนานๆ เข้า ... เรื่องเล็กน้อย ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องเรื้อรังได้เสมอ... เพียงประหยัดวันละนิด เพื่อเงินออมที่งอกงาม...ความมั่นคง ความร่ำรวย ก็จะอยู่กับเราอย่างยั่งยืน
             เมื่อเรารู้ว่า เรายังไม่รวย หรือยังไม่จน และเพราะเราเลือกได้ว่าจะอยู่อย่างรวย หรือจะอยู่อย่างจน... การไปให้ถึงเป้าหมายสำคัญที่ว่าจะไม่จน...จึงอยู่ที่เราเป็นผู้กำหนด ซึ่งเป้าหมายที่ดีต้องกำหนดขึ้นอย่างสมเหตุสมผล เป้าหมายที่เป็นจริงได้ยากจะทำให้เราท้อแท้ เหนื่อยจนอาจหมดกำลังใจได้ อย่างหลายๆ คน ที่ยังยากจนอยู่เพราะไม่รู้จักพอ ต่อให้มีทรัพย์สินเงินทองเป็นพันล้าน หมื่นล้านก็ไม่รวย เพราะไม่เคยพอ
             การรู้จักประมาณตนเอง การรู้จักใช้จ่ายอย่างมีเหตุผล จะเป็นภูมิคุ้มกัน ที่นำพาเราไปยังเป้าหมายที่ต้องการได้อย่างสุขใจ...ยังไม่จน...อยู่อย่างจน...จะไม่จน

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ 11 ตุลาคม 2550

วิธีสลัดเรื่องไร้สาระออกจากใจ

                  บทความหนังสือเรื่อง Don't Sweat the Small Stuff แต่งโดย Richard Carlson
ผู้แต่งเชื่อว่านิสัยเกิดจากการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งครั้งแล้วครั้งเล่านิสัยเหล่านี้จะเกิดขึ้นเองตาม
สภาวธรรมชาติและเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เสียจนเราไม่รู้สึกว่าเป็นสิ่งผิดปกติหรือเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไข
แต่หารู้ไม่ว่านิสัยที่ไม่ดีของเราเหล่านี้จะเป็นตัวบั่นทอนพลังชีวิต ทำให้เราหมดกำลังใจ และทำให้เราเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย ดังนั้นผู้แต่งจึงชี้ให้เห็นถึงนิสัยที่ไม่ดีและมิจฉาทิฏฐิที่ควรแก้ไข ดังนี้


1. ความคิดที่ว่าเมื่อประสบปัญหาต้องรีบแก้ไขทันที
ในช่วงที่ประสบปัญหาจิตใจจะวกวนสับสน เครียด อึดอัด มึนงงเศร้าสลดหดหู่ไม่ควรที่จะขบคิดแก้ไขปัญหาใด ๆ เพราะยิ่งคิดยิ่งมึนงงมองไม่เห็นทางออก หรือถ้าคิดออกความคิดที่ได้ก็ไม่เฉียบคม


วิธีแก้ หยุดคิด ทำใจให้สบาย ๆ ปล่อยวาง เมื่อจิตใจสงบจึงค่อยเริ่มแก้ไขปัญหา
แก้ไขปัญหาที่พอจะแก้ไขได้ก่อนปัญหาที่รุนแรงและเรื้อรังยากที่จะแก้ไขได้โดยทันที ก็ให้ค่อย ๆ แก้ไขไปทีละเปลาะสองเปลาะ เมื่อปัญหาลดน้อยลงจะทำให้เรามีกำลังใจมากขึ้น ปัญหาที่ยากย่อมต้องใช้เวลา ความพยายาม ความอดทน และความต่อเนื่องเป็นธรรมดา จงยอมรับความเป็นจริงทั้งหมดที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าเราคิดถึงเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้น(Worst case scenario) แล้วทำใจยอมรับให้ได้ เมื่อนั้นจิตใจจะสงบและในความเป็นจริงมันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่เราคิดไว้ก็ได้จะทำให้เรายิ่งมีกำลังใจที่จะขบคิดแก้ไขปัญหาต่อไป


2. หงุดหงิดรำคาญใจ ทุกสิ่งทุกอย่างขัดหูขัดตาไปหมด ไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย
บุคคลที่มีความคิดประเภทนี้จะมีจิตใจคับแคบ ไม่รู้จักให้อภัยผู้อื่นเอาตนเองเป็นที่ตั้ง ชี้ถูกชี้ผิดอยู่ตลอดเวลานิดหนึ่งก็ไม่ได้นิดหนึ่งก็ไม่ยอม จิตใจร้อนรุ่ม หาความสุขไม่ได้ไม่มีใครอยากเข้าใกล้หรืออยากงานด้วย มีศัตรูเต็มไปหมดสุขภาพเสื่อมโทรมโรคภัยรุมเร้าเพราะมีความเครียดอยู่ตลอดเวลา


วิธีแก้รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ
ไม่มีใครสามารถทำตามใจเราได้ทุกอย่างทำอะไรก็ตามให้อยู่ในระดับกลาง ๆ พอดี ๆ ไม่ต้องสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่างพูดจาให้นุ่มนวลอ่อนหวาน สบาย ๆ ไม่ต้องเอาเป็นเอาตายเอาจริงเอาจังไปเสียทุกเรื่อง


3. บ้างาน คิดว่าตนเองมีงานล้นมือ
ทุกอย่างมีแต่ความรีบเร่งจนไม่มีเวลาเป็นของตัวเองคนที่รีบเร่งทำงานหลาย ๆ อย่างแต่ทำไม่เสร็จซักอย่าง งานส่วนใหญ่มักจะไม่มีสาระไม่สำคัญ ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้นเพราะการรีบเร่งทำงานอยู่ตลอดเวลาจิตจะไม่ว่างกิริยาจะร้อนรน ขาดสติสัมปชัญญะขาดความระมัดระวังทำให้ไม่รู้ตัวว่าตนกำลังทำสิ่งที่ไร้สาระอยู่เมื่อพลังงานส่วนใหญ่สูญเสียไปกับการทำเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ งานที่ออกมาก็ไม่มีประสิทธิภาพ
เมื่อโดนตำหนิก็เกิดความเครียดทำให้ต้องรีบสร้างผลงานมากขึ้นเพื่อชดเชยความผิด  แต่ยิ่งรีบก็ยิ่งผิด วนเวียนเป็นวงจรอุบาทว์ไม่มีที่สิ้นสุด


วิธีแก้เลือกทำในสิ่งที่สอดคล้องกับเป้าหมายในชีวิต
ถามตนเองว่าสิ่งที่กำลังทำกำลังพูด และกำลังคิดอยู่นี้จะทำให้เรามีความสุขขึ้น เป็นคนดีมากขึ้นมีสติปัญญามากขึ้น และมีเงินทองมากขึ้นหรือไม่ ถ้าไม่ก็ให้ตัดทิ้งเสีย เช่น การนินทาว่าร้ายเจ้านาย เป็นต้น ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะสิ่งต่าง ๆ ที่ทำในปัจจุบันจะส่งผลไปยังอนาคตอย่างแน่นอน ให้บอกตนเองเสมอว่าในโลกนี้มีงานต่าง ๆ อีกมากมายทำเท่าไรก็ทำไม่หมดหรอก ทำแต่สิ่งที่สำคัญเท่านั้นก็พอ ให้ตระหนักถึงสัจธรรมที่ว่าถึงแม้ว่าเราจะจากโลกนี้ไป โลกมันก็ยังคงดำเนินต่อไปได้โดยไม่ต้องมีตัวเรา
อย่าสำคัญตัวเองมากนัก หยุดทำงานทุกอย่าง นั่งสงบนิ่งดูลมหายใจ (อาณาปาณสติ) สัก 15 นาที
เจริญมรณานุสติโดยการคิดว่าถ้าจะต้องตายในอีก 7 วันข้างหน้า เราอยากทำสิ่งใดมากที่สุด
(แต่วิธีนี้ไม่เหมาะกับบุคคลที่เป็นโทสะจริตเพราะมีมรณานุสติเป็นอารมณ์อยู่แล้ว)


4. คิดเอาตนเองเป็นใหญ่และคิดอาฆาตแค้นพยาบาทคนอยู่ตลอดเวลา
ความคิดนี้เป็นความคิดในแง่ลบ (Negative thinking) ซึ่งเป็นตัวบั่นทอนพลังชีวิต ทำให้เราเป็นคนย้ำคิดย้ำทำและเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายโดยที่เราไม่รู้ตัว การกระทำ คำพูดและแววตาจะแสดงออกมาด้วยความก้าวร้าวรุนแรง


วิธีแก้ให้ระมัดระวังความคิดในแง่ลบ
เมื่อมีความคิดเหล่านี้โผล่ขึ้นมาเองไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องคิดต่อให้เปลี่ยนเรื่องคิดทันทีให้หันมาคิดในแง่บวกแทนซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เกิดเองตามธรรมชาติจะต้องสร้างขึ้นมา  ทำใจยอมรับว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความคิดที่เป็นอกุศลเช่น ความอิจฉาริษยา ความอาฆาตพยาบาท ความมีอัตตาตัวตน และความยึดมั่นถือมั่น เป็นต้น ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้รวมทั้งตัวเราเอง ทุกคนเท่าเทียมกันหมด เราจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะไปตัดสินผู้อื่นว่าถูกหรือผิด  หากเรายอมรับความเป็นจริงในข้อนี้ได้ เราจะรู้จักให้อภัยผู้อื่นและให้อภัยตัวเอง รู้จักสำรวมคำพูดและการกระทำมากขึ้นพยายามประคับประคองความคิดที่ดีให้อยู่นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้


5. คิดดูถูกผู้อื่น และชี้ถูกชี้ผิดอยู่ตลอดเวลา
ความคิดเหล่านี้จะทำให้เรามีจิตใจคับแคบ ไม่มีเมตตาต่อผู้อื่นมีความเครียดเป็นอาจิณ


วิธีแก้เอาใจเขามาใส่ใจเรา เลิกเอาตัวเองเป็นที่ตั้งหัดเข้าใจความคิดและอารมณ์ของผู้อื่นว่าทำไมเขาถึงพูดหรือทำเช่นนั้นและถ้าเราอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขา เราอาจจะทำแบบเดียวกับเขาก็ได้ เป็นต้น
ยอมรับว่าในโลกนี้ไม่มีใครที่คิดเหมือนกับเรา ดังนั้น การมีความคิดที่ขัดแย้งกันย่อมเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีใครถูกใครผิดหัดฟังมากกว่าพูด สักแต่รู้สักแต่เห็น รับรู้ทุกอย่างแต่อย่าคิดต่อ ไม่ต้องหาเหตุหาผลไปซะทุกเรื่องพิจารณาอารมณ์ของตนเองว่าในขณะนี้เราสุข ทุกข์หรือเฉย ๆ เพื่อหยุดความคิดซึ่งป็นบ่อเกิดแห่งอัตตาตัวกูของกู


6. คิดเอาชนะผู้อื่น
การโต้เถียงเอาชนะผู้อื่นเพียงเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่เราคิดนั้นถูกต้องเป็นการสิ้นเปลือง พลังงานโดยใช้เหตุและยังเป็นการสร้างศัตรูโดยที่เราไม่รู้ตัว


วิธีแก้พูดเท่าที่จำเป็นพูดแต่สิ่งที่สร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง หัดฟังมากกว่าพูด และเอาใจเขามาใส่ใจเรา พยายามประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการโต้เถียงให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้


7. คิดทวงบุญคุณจากผู้อื่น
การทวงบุญคุณจะทำให้จิตใจคับแคบ เต็มไปด้วยความอึดอัด ไม่พอใจ ลังเลสงสัย จิตใจสกปรกขุ่นมัวเพราะเป็นการทำดีเพื่อหวังผลตอบแทน


วิธีแก้ ช่วยเหลือโดยไม่ต้องคำนึงถึงผู้ให้ในที่นี้คือตัวเรานั่นเอง ควรให้เพราะอยากช่วยเหลือไม่ต้องมีตัวเขาเราท่านช่วยเหลือโดยไม่ต้องคำนึงถึงผู้รับคนไหนพอช่วยได้ให้ช่วยไปเลยไม่ต้องจำกัดว่าช่วยเพราะเป็นญาติเราหรือช่วยเพราะเขาทำดีกับเรา เป็นต้น ช่วยแล้วหันหลังกลับ ไม่หวังผลตอบแทน


8. คิดกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
การคิดวิตกกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงจะทำให้จิตใจว้าวุ่น สับสนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว จิตใจล่องลอยไม่อยู่กับปัจจุบัน


วิธีแก้ รู้เนื้อรู้ตัวว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำแล้วเกิดผลอะไร ทำวันนี้ให้ดีที่สุด คิดโกรธเกลียดหมั่นไส้ผู้อื่น ความโกรธ เกลียด รำคาญและไม่ชอบหน้าบุคคลที่เคยทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจเป็นนิสัยที่เกิดได้กับมนุษย์ทุกคนแต่เมื่อมีความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นในจิตใจเราควรระมัดระวังไม่ให้แสดงออกมาทางสีหน้า
แววตา น้ำเสียง และการกระทำ นอกจากนั้น เราควรมองบุคคลเหล่านั้นในแง่บวกเช่นคนที่ตำหนิติเตียนเรานั้นอาจจะกำลังสอนให้เรารู้จักทำงานให้เป็นระเบียบมากขึ้นหรือคนนินทาว่าร้ายเรานั้นอาจจะกำลังสอนให้เรารู้จักวางตัว พูดเท่าที่จำเป็นเพราะเขารู้เรื่องของเราหมดจึงเอาไปคุยกันจนสนุกปาก เป็นต้น


9. คิดน้อยใจในโชคชะตาของตนเอง
การคิดน้อยใจในชะตากรรมของตัวเองเช่น เกิดมายากจน รูปร่างไม่ดี หน้าตาไม่สวยเรียนหนังสือไม่เก่ง หรือทำอะไรก็สู้เขาไม่ได้ เป็นต้น  การคิดเช่นนี้นอกจากจะเป็นการบั่นทอนกำลังใจตัวเองแล้วยังทำให้ชีวิตจมปลักไม่ก้าวหน้าไปไหนเพราะมัวแต่ย้ำคิดย้ำทำแต่สิ่งเดิม ๆ


วิธีแก้ จงพอใจในสิ่งที่ตนมี และอย่าคิดเปรียบเทียบกับคนอื่นระลึกและจดจำในสิ่งดี ๆ ที่เราได้รับจากคนรอบข้างรู้จักและยอมรับตนเองทั้งจุดเด่นและจุดด้อยพัฒนาและใช้จุดเด่นของเราให้เป็นประโยชน์และปรับปรุงจุดด้อยหรือหาสิ่งอื่นมาทดแทนเรียนรู้จากประสบการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตลืมอดีตที่ขมขื่นเพื่อทำปัจจุบันให้ดีที่สุด คิดในแง่บวกและพยายามประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา


10. นิสัยมองโลกในแง่ร้ายและคิดว่ามนุษย์ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัว
การคิดเช่นนี้จะยิ่งเป็นการตอกย้ำความคิดในแง่ลบให้มากขึ้นเป็นทวีคูณมองความจริงไม่ตรงตามความเป็นจริง ปัญหาเล็ก ๆก็ตีโพยตีพายจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต จิตใจคับแคบหาความสุขไม่ได้เพราะจะคอยจับผิดผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา


วิธีแก้คิดถึงประสบการณ์ดี ๆ ที่เราได้รับจากคนรอบข้างเช่น
คิดถึงบุคคลที่มีบุญคุณหรือมีน้ำใจกับเรา เป็นต้นพยายามมองโลกในแง่บวกอย่าปล่อยให้จิตมันคิดเอง


11. คิดว่าโลกนี้มีแต่ปัญหาเต็มไปหมด แก้เท่าไรก็ไม่หมดเสียที
การคิดเช่นนี้นอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหาแล้วรังแต่จะเป็นตัวบ่อนทำลายกำลังใจของเราเองเสียอีก


วิธีแก้ ให้มองปัญหาเสมือนด่านทดสอบความอดทน ตัวฝึกฝนทักษะในการแก้ปัญหาและเป็นแหล่งปัญญาที่หาไม่ได้จากในหนังสือมองปัญหาในแง่บวกว่ามันอาจจะเป็นสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าก่อนที่ความหายนะจะเกิดขึ้นก็ได้ปัญหาทำให้เราเห็นข้อบกพร่องที่เราอาจจะมองข้ามไปมองปัญหาเป็นเรื่องธรรมชาติที่มนุษย์ทุกคนต้องประสบ อันไหนพอแก้ได้ก็ทำไปก่อนคิดในแง่บวกและตั้งจิตว่าจะประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่ตลอดเวลา


12. คิดว่าเราเก่งกว่าผู้อื่น ฉลาดกว่าผู้อื่น หรือร่ำรวยกว่าผู้อื่น
ความคิดเช่นนี้จะส่งผลให้พฤติกรรมที่แสดงออกมาเต็มไปด้วยความหยิ่งยะโสโอหังอวดดี ถือตัว มองผู้อื่นด้วยสายตาดูถูกดูแคลน วาจาจะรุนแรงและสามหาวบุคคลรอบข้างจะรังเกียจ หมั่นไส้ และอิจฉาริษยาซึ่งเป็นการสร้างศัตรูโดยไม่รู้ตัว


วิธีแก้ ระมัดระวังคำพูด ความคิด และการกระทำ
ต้องมีสติรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา หัดมองตัวเอง เลิกเปรียบเทียบกับผู้อื่นอยากวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น


13. การด่าทอ เหน็บแนม ประชดประชัน และวิพากษ์วิจารณ์เป็นอกุศลวาจาที่สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับผู้อื่นซึ่งเป็นการสร้างศัตรูโดยไม่ได้ตั้งใจ นอกจากนั้นความคิดเหล่านี้ยังเป็นที่มาของความโกรธ ความเกลียดและความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจมนุษย์อีกด้วย


วิธีแก้ คิดก่อนพูดและไม่ต้องพูดทุกอย่างที่เราคิด
ถ้าพูดแล้วไม่สร้างสรรค์นิ่งเสียจะดีกว่า เอาใจเขามาใส่ใจเราในโลกนี้ไม่มีใครชอบถูกวิพากษ์วิจารณ์แม้แต่ตัวเราเอง
--------------------------------------------------------------------------------
ที่มา : http://www.thaireaderclub.com/

เคล็ด (ไม่) ลับการชนะใจเพื่อนร่วมงาน

1. คุณควรมีความเป็นตัวของตัวเอง เชื่อมั่นในตัวเอง สิ่งไหนถูก ทำไปเลย
2. เวลาคนอื่นเค้าพูดอยู่ เราไม่ควรไปพูดแทรก อาจจะรอ ให้เค้าพูดจบก่อน หรือรอจนกว่า เค้าจะถาม แล้วเราถึงค่อยพูด จะดีกว่านะ
3. เริ่มต้นบทสนทนา ด้วยคำถามง่าย ๆ เช่น สบายดีไหมคะ ทานข้าวแล้วยังคะ ดีกว่าคำถามหนัก ๆ พาลจะปวดหัวเปล่า ๆ
4. เสนอความคิดเห็นที่เปิดกว้าง ให้ทุกคน สามารถมีส่วนร่วม ได้อย่างเต็มที่
5. ลดความเคร่งเครียด จากภารกิจต่าง ๆ หันมาสร้างอารมณ์ขัน กันหน่อยดีไหม รอบ ๆ ตัวเรา จะได้มีแต่เสียงหัวเราะ
6. เมื่อเราทำอะไรผิด หรือทำงานพลาด เราไม่ควร ที่จะแสดงอาการไม่ชอบใจ เมื่อมีคนมา ว่ากล่าวตักเตือนเรา แต่จงน้อมรับคำตักเตือนนั้น ด้วยอาการสงบ และพร้อมที่จะนำมา ปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น
7. ยิ้มวันนิดจิตแจ่มใสนะ เจอใครผ่านไปผ่านมา ส่งยิ้มหวาน ๆให้กันสักหน่อย ทีนี้ล่ะ ใคร ๆ ก็อยากเข้าใกล้ อยากมาพูดคุยกับเรา ทั้งนั้นแหละ
8. เวลาไม่พอใจอะไร หรือความคิดเห็นของเรา ไปขัดกับใครเข้า ยอมได้ก็ยอม อย่าให้ถึงกับต้อง ตัดเป็นตัดตายเลย อันนั้นมันก็เกินไป
9. เอาเวลาว่าง ๆ ที่ไปซุบซิบนินทาคนอื่น ไปเดินทักทาย ถามสารทุกข์สุขดิบเค้า จะดีกว่านะ
10. พยายามชวนคนอื่นคุย ในหัวข้อที่คนอื่นเค้าสนใจ ดีกว่าคุยแต่เรื่องของเรา เพียงอย่างเดียว จะได้คุยกันนาน ๆ โดยที่เค้าไม่เบื่อซะก่อน
11. ไม่มีใครรู้ในทุก ๆ เรื่องหรอกนะ ถ้าเราไม่รู้ ก็ควรถาม ด้วยความอยากรู้ ไม่ใช่ถามเพื่อลองภูมิ
12. ในการติดต่อกับคนอื่น เราไม่ควรยึดเอาตัวเอง เป็นมาตรฐานว่า อันนั้นดี อันโน้นไม่ดี คนอื่นอาจจะคิด ต่างจากเราก็ได้ เพราะฉะนั้น เราจึงควรเปิดใจ ให้กว้างเข้าไว้ รับฟังความเห็นของคนอื่นบ้าง
--------------------------------------------------------------------------------
ที่มา : http://www.thaireaderclub.co/

ฝึกสมองให้ไบร์ทด้วย 9 เทคนิค

1. จิบน้ำบ่อยๆ
สมองประกอบด้วยน้ำ 85 เปอร์เซ็นต์ เซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เซลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ
2. กินไขมันดี
คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวันจำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่างปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดีที่ทำให้เซลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่นค่ะ
3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที
หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน)
4. ใส่ความตั้งใจ
การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆเพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน
5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ
ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอนเดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ
6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน
สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา ฯลฯเพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอนเดอร์ฟินและโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์
7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน
ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง
8. เขียนบันทึก Graceful Journal
ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึกเช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข ฯลฯ เพราะการเขียนเรื่องดีๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก
พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์
9. ฝึกหายใจลึกๆ
สมองใช้ออกซิเจน 20-25 เปอร์เซ็นต์ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 เปอร์เซ็นต์

ที่มา : http://www.thaihomemaster.com/

ทำอย่างไรจะแพ้ด้วยมาดผู้ชนะ

1. รู้จักคิดหาเหตุผล หากเป็นนักกีฬาอาชีพ ทุกครั้งที่ลงสนามย่อมหวังที่จะชนะเสมอ แต่ถ้าแพ้ก็เก็บเอาข้อบกพร่องมาแก้ไข จงคิดหาเหตุผลอย่างถูกต้องว่าคุณทำอะไรพลาดไปบ้าง แล้วสัญญากับตัวเองว่าจะทำให้ดีขึ้นในโอกาสต่อไป

2. อย่าหวังว่าจะชนะ แต่คาดว่าจะชนะ เหตุผลที่ทำให้คุณน็อตหลุดเอาง่าย ๆ คือการตั้งความหวังมากเกินไป ลองเปลี่ยนเป็น “คาดว่าจะชนะ” ดีกว่า ถ้าแพ้ก็ไม่เจ็บตัวมาก เพราะเผื่อใจเอาไว้บ้างแล้ว วิธีนี้ทำให้คุณเก็บอาการได้ดีขึ้น
3. คิดเสียว่ากำลังแข่งกับตัวเอง นักกีฬาชั้นยอดหลายคนสร้างแรงขับด้วยการใช้วิธีนี้ทุกครั้งที่ลงแข่ง นอกจากจะเล่นได้เต็มสปีดไม่หงุดหงิดกับเกมของคู่แข่ง เวลาพลาดขึ้นมายังถือว่า “สอบไม่ผ่าน” มากกว่าจะเซ็งที่สู้เขาไม่ได้
4. โมโหอย่างสงบ เปลี่ยนความโกรธเป็นความมุมานะแก้ตัว แต่คุณต้องมีสมาธิมากพอสมควร
5. เรียนรู้จากความผิดพลาด ถ้าคุณทำใจได้ว่า กำลังแข่งเพื่อเอาชนะตัวเอง เวลาพลาดขึ้นมาก็ต้องจำแล้วแก้ไขซะใหม่โดยไม่หัวเสียโวยวาย การพ่ายแพ้ครั้งนั้นจะทำให้คุณลบข้อบกพร่องอย่างถูกจุดเพื่อเป็นผู้ชนะในวันข้างหน้า
6. เชื่อมั่นในความสามารถของตัวเองแม้จะแพ้ บางครั้งความพ่ายแพ้ที่กระตุ้นให้คุณสะกดอารมณ์ไม่อยู่มักเกิดจากการผิดหวังในฟอร์มของตัวเอง โทษตัวเอง มันไม่ร้ายแรงถึงขนาดนั้นหรอกครับ คุณต้องรู้ว่าแม้แต่ซูเปอร์สตาร์ระดับโลกก็ต้องมีวันดวงแตก ฟอร์มหลุดลุ่ยมาด้วยกันทั้งสิ้น อย่าไปคิดมาก มันไม่ใช่วันของคุณต่างหาก จงยึดคติที่ว่า ไม่ว่าจะเผชิญเรื่องเลวร้ายเพียงใด เช้าวันพรุ่งนี้พระอาทิตย์ก็ยังขึ้นเหมือนเดิม
--------------------------------------------------------------------------------
ที่มา : http://www.manfocus.com/

คิดอย่างไรไม่ให้เครียด


1. คิดในแง่ยืดหยุ่นให้มากขึ้น อย่าเอาจริงเอาจัง เข้มงวดจับผิด หรือตัดสินถูกผิดตัวเอง หรือผู้อื่นตลอดเวลา รู้จักผ่อนหนัก ผ่อนเบา ผ่อนสั้น ผ่อนยาว ลดทิฐิมานะและที่สำคัญควรรู้จักการให้อภัยก็จะทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้น และมีความเครียดน้อยลง
2. คิดอย่างมีเหตุผล ไม่ด่วนเชื่ออะไรง่าย ๆ ไม่ด่วยสรุปอะไรง่าย ๆ ให้พยายามใช้เหตุผลตรวจสอบข้อเท็จจริง ความเป็นไปได้ ไตร่ตรองให้รอบคอบ เพราะนอกจากจะไม่ทำให้ตกเป็นเหยื่อให้ใครหลอกเอาง่าย ๆ แล้ว ยังสามารถตัดความกังวลใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปได้อีกด้วย
3. คิดหลาย ๆ แง่มุม มองหลาย ๆ ด้าน ทั้งด้านดีและไม่ดี พึงระลึกไว้เสมอว่า ทุกอย่างมีข้อดีและข้อไม่ดีประกอบกันทั้งสิ้น จึงไม่ควรมองด้านใดด้านหนึ่งเพียงด้านเดียวให้ใจเป็นทุกข์ และที่สำคัญ ควรหัดคิดหัดมองในมุมของคนอื่นด้วย อย่างที่เขาเรียกว่าเอาใจเขามาใส่ใจเรา ก็จะช่วยให้เรามองอะไรได้กว้างไกลกว่าเดิม
4. คิดแต่เรื่องดี ๆ เพราะหากว่าเราคิดแต่เรื่องร้าย ๆ เรื่องความล้มเหลวผิดหวังหรือเรื่องที่เป็นทุกข์ ก็จะทำให้เครียดมากขึ้น ควรคิดถึงเรื่องดี ๆ ให้มาก ๆ นอกจากไม่ทำให้เครียดแล้วยังทำให้สบายใจมากขึ้นด้วย
5. คิดถึงคนอื่นบ้าง อย่าหมกมุ่นแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น เปิดใจให้กว้างรับรู้ความรู้สึกและความเป็นไปของคนอื่นและคนใกล้ชิด ใส่ใจที่จะช่วยเหลือแก้ไขปัญหาของผู้อื่นในสังคม บางครั้งจะพบว่า ปัญหาหรือความเครียดที่กำลังเผชิญอยู่นั้นเป็นเรื่องเล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับปัญหาของผู้อื่น ซึ่งความรู้สึกแบบนี้จะทำให้เครียดน้อยลง จะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น และยิ่งถ้าสามารถช่วยให้ผู้อื่นแก้ไขปัญหาได้ ก็จะทำให้สุขใจมากขึ้นเป็นทวีคูณเลยทีเดียว

โดย : ลัชดา สมญาติ (เจ้าหน้าที่เวชสถิติ 5)
ข่าวสารกรมสุขภาพจิต ปีที่ 8 ฉบับที่ 7 กรกฏาคม 2544 ที่มา : http://www.watpon.com

ข้อดีของความทุกข์

1.ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น

2.ทำให้รู้ถึงค่าของความสุข
3.ทำให้เรามีความสามารถมากขึ้น
4.ทำให้เรามีสิ่งที่ต้องทำ(ทำเพื่อให้หายทุกข์ )
5.ทำให้เรามีประสบการณ์ในการแก้ปัญหามากขึ้น
6.ทำให้เรามีความอดทนมากขึ้น
7.ทำให้ความสุขมีค่ามากขึ้น
8.ทำให้มีความระมัดระวังมากขึ้น
9.ทำให้เรามองโลกกว้างมากขึ้น
10.ทำให้เราเห็นได้ว่าใครคือคนที่เป็นที่พึ่งยามยากของเรา
11.ทำให้เราได้รู้ว่ามีใครบ้างที่ห่วงเรา
12.ทำให้เราได้รู้ว่ามีใครบ้างที่เป็นมิตรแท้ของเรา
13.ทำให้รู้ได้ว่าเพื่อนของเรามีความสามารถแค่ไหน
14.ทำให้เรารู้ว่าใครมีความสามารถขนาดไหน
15.ทำให้เรารู้ได้ว่ามีคนไหนที่รักเราจริง
16.ทำให้เรารู้ว่าการหัวเราะเป็นสิ่งจำเป็น
17.ทำให้เราพยายามที่จะมองโลกในแง่ดีมากขึ้น
18.ทำให้เรามาค้นหาข้อดีของความทุกข์
--------------------------------------------------------------------------------
ที่มา : http://www.thaireaderclub.com

8 วิธีดับอารมณ์ร้อน

1. นับ 1-10 ..... ไม่ใช่เรื่องตลก..ก ในยามที่คุณไม่สบอารมณ์กับคำพูดของเพื่อนบางคน แล้วแทนที่จะสวนกลับด้วยคำพูดที่เจ็บแสบพอกัน กลับปรับอารมณ์ตัวเองด้วยการนับ 1 -10 ในใจ เพื่อที่จะห้ามตัวเอง และมีเวลาพิจารณาคำพูดของเพื่อน ๆ ว่า กำลังอยู่ใน อารมณ์ที่กำลังเย้าแหย่เล่น มากกว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นก็ป่วยการที่จะโกรธเคืองให้งานกร่อย ปล่อยให้เล่นสนุกไปสักพักเดี๋ยวก็เลิกเล่นกันเองแหล่ะ แต่ถ้ายังทนไม่ไหว ก็เพิ่มจาก 10 เป็น 20 30 จนถึง 100

2.เลี่ยงหลบๆ ไปให้พ้น ..... ถ้ารู้ว่าเป็นคนอารมณ์ร้อน และมักจะใช้กำลังทำลายข้าวของ หรือแม้กระทั่งคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า วิธีการเลี่ยงออกไปจากตรงนั้นเป็นการดีที่สุด สองมือล้วงกระเป๋าสองเท้าก้าวออกไปจากจุดนั้น จนกว่าจะสามารถระงับอารมณ์ตัวเองได้ จึงหันหน้ากลับมายังทิศทางเดิมเพื่อสะสางปัญหา
3. ตังใจฟัง.....ระหว่างการอภิปรายหรือโต้เถียงอย่างรุนแรง และคุณก็เป็นคนหนึ่งที่ถูกพาดพิง และวิจารณ์อย่างดุเดือด การโต้ตอบทันทีทันใดแบบเลือดขึ้นหน้า เป็นการเปล่าประโยชน์และแสดงวุฒิภาวะทางอารมณ์อย่างไม่ควจจะเป็น การตั้งใจฟังจะทำให้คุณใคร่ครวญ ถึงคำพูดที่ถูดพาดพิงได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เพราะคนที่พูดนั้นมีโอกาสที่จะพลาดได้มากกว่าคนที่ไม่พูดอะไรเลย
4.หมั่นฝึกสมาธิ.....สมาธิเป็นการฝึกจิตชั้นดีที่สุดที่สามารถทำให้คนอารมณ์ร้อนกลายเป็นคนอารมณ์เย็น สุขุมนุ่มลึก สมองปลอดโปร่ง แล้วบรรดาเรื่องต่าง ๆ ก็จะไม่สามารถกวนคุณให้อารมณ์ปะทุขึ้นได้โดยง่าย
5.ฝึกอ่านหนังสือตั้งแต่ต้นจนจบ.....เปิดหนังสือหน้าแรกก็ต้องรีบวาง ไม่ใช่ว่าหนังสือหน้าเบื่อ แต่เป็นเพราะคุณไม่อาจทนต่อการอ่านหนังสือจนจบได้ ดังนั้นการฝึกอ่านหนังสือตั้งแต่หน้าแรกไปถึงหน้าสุดท้าย นอกจากจะได้ความคิดดี ๆ แล้ว ยังลดความพลุ่งพล่านทางอารมณ์ของคุณได้อีกด้วย
6.คิดหาเหตุผล.....หลักการทางวิทยาศาสตร์ยังใช้ได้ดีกับคนอารมณ์ร้อนอีกด้วย จงใช้วิจารณญาณ ในการคิดและตัดสินใจ จะพบว่าที่เคยร้อนจะผ่อนคลายลงเป็นเย็นเยียบ และเฉียบขาดในการแก้ไขปัญหานั้น ๆ
7.ฝึกขอโทษ..... คำว่าขอโทษสามารถระงับอารมณ์ร้อนของคุณเองได้ แล้วยังสามารถระงับอารมณ์เดือด ๆ ของคนอื่นได้ด้วย การเริ่มตันในบางสถาณการณ์ด้วยคำว่าขอโทษ องศาเดือดที่ทำท่าว่าจะคุกรุ่นย่อมลดลงด้วยเช่นกัน
8.ยิ้มเข้าไว้ ..... คุณเคยยิ้มแบบเสแสร้งไหม ? ยิ้มแบบที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไร ยิ้มแก้เขิน ยิ้มทั้ง ๆ ที่ไม่อยากยิ้ม แต่เมื่อยิ้มออกไปแล้วจะไม่มีภัยมาถึงตัว เพราะรอยยิ้มคือมิตรภาพ คือความอบอุ่น คือไมตรีจิตที่ส่งถึงกันได้ การยิ้มบ่อย ๆ จะสามารถระงับอารมณ์ร้อน ๆ ของคุณได้

วันเสาร์, สิงหาคม 29, 2552

นำ Word ใส่ PowerPoint

การแทรกเอกสาร Word เข้าไปในสไลด์ PowerPoint ที่ถูกต้องมีขั้นตอน ดังนี้
1. เปิดหน้าสไลด์ว่างๆ ในโปรแกรม PowerPoint
2. เลือกเมนู Insert คลิ้กเลือก Object
3. คลิ้กเลือก Create from file คลิ้กปุ่ม Browse เพื่อเข้าไปยังที่เก็บไฟล์เอกสารที่ต้องการ คลิ้ก OK


4. กรณีต้องการแทรกเอกสาร Word ที่จะสร้างขึ้นใหม่เข้าไปในสไลด์ให้ คลิ้ก Creat new
ในสกอลบ๊อกซ์ Object Type เลือกไฮไลต์เอกสาร Microsoft Word คลิ้กปุ่ม OK

5. เอกสาร Word ที่เลือกจะปรากฎในหน้าสไลด์ว่างด้วยรูปแบบ (format) ที่ถูกต้อง
คลิ้กบนพื้นที่ว่างของสไลด์ เพื่อฝัง (embed) ออบเจกต์ของเอกสาร Word เข้าไปในสไลด์
ส่วนการแก้ไขเอกสารในหน้าสไลด์ สามารถทำได้โดยคลิ้กขวาบนเอกสารในสไลด์ จากนั้น
เลือก Document Object และ Edit ตามลำดับ
นอกจากคุณจะสามารถแทรกเอกสาร Word เข้าไปในสไลด์ด้วยวิธีนี้ได้แล้ว
คุณยังสามารถแีทรกเวิร์กชีตของ Excel, ไฟล์รูปภาพจาก Adobe Photoshop
หรือแม้แต่สไลด์ของ PowerPoint เองได้อีกด้วย

ที่มา : arip.co.th

ตามล่า...หาความสุขในที่ทำงาน

เคยรู้สึกเช่นนี้บ้างไหม ตื่นเช้ามาไม่อยากไปทำงาน รู้สึกหดหู่ เบื่อหน่าย
เคยรู้สึกไหมว่า แต่ละวันในการทำงานมันช่างผ่านไปช้าเสียเหลือเกิน
เคยมีพฤติกรรมเช่นนี้บ้างไหม คือชอบหาโอกาสลางาน
หรือหลีกเลี่ยงงานอยู่เสมอทั้งหมดนี้เป็นคำถาม หรืออาการแสดงเพื่อให้คุณเริ่มสำรวจตัวเองว่า
คุณกำลังมีความสุข หรือมีความทุกข์กับการทำงานของคุณ
ความสุขของคนเราขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ที่มากระทบ
ไม่ว่าจะเป็นสภาพสังคม สภาพแวดล้อม เศรษฐกิจ และอื่นๆ อีกมากมาย
ความจริงข้อหนึ่งของความสุขก็คือ ความสุข ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในของบุคคลมากพอๆ กับปัจจัยภายนอกที่มากระทบ ดังนั้นการ
บริหารจิตจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะสร้างความสุขให้กับตัวคุณเองได้ เช่น
การฝึกจิต จึงมีวิธี สร้างความสุขในการทำงานแบบง่ายๆ มาแนะนำ ดังนี้ค่ะ
“อย่า” คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเล็กน้อย
อย่าเก็บทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันมาคิด
หรือนำมาเป็นอารมณ์ซะทุกเรื่อง ให้คิดว่าผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
หากมัวแต่เสียเวลาคิดว่า วันนี้โดนหัวหน้าตำหนิว่าทำงานแย่มาก
เพื่อนร่วมงานพูดจากระแนะกระแหน หรือพูดจาเสียดสีคุณ
แม้คุณจะปฎิเสธไม่ได้ว่า พฤติกรรมของคนอื่นมีผลทำให้คุณมีความสุข
หรือมีความทุกข์ได้ก็ตามค่ะ สิ่งเหล่านี้มี
ผลกระทบทำให้คุณไม่มีเวลาคิดจะสร้างหรือพัฒนางานของคุณ
ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าจะคิดมากกว่า
ดังนั้นคุณต้องฝึกให้ตัวเองใช้เวลาในแต่ละวันคิดถึงเป้าหมายและวิธีที่จะไปสู่เป้าหมาย
ความคิดนี้จะส่งผลให้คุณมีความกระตือรือร้นในการทำงาน
และสนุกกับสิ่งที่ทำอยู่ตลอดเวลามากกว่าค่ะ

“อย่า” ต่อว่าองค์กร
องค์กรเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สอง
คุณต้องใช้เวลาในชีวิตประจำวันของคุณอยู่ที่ทำงาน
มากกว่าอยู่ที่บ้านของตัวเองเสียอีก หลายต่อหลายคนมักจะมีความรู้สึกว่า
ทำงานเพื่อรอรับเงินเดือน และมักจะต่อว่าองค์กรในทางที่ไม่ดีเสมอ
บ่นว่าเงินเดือนก็น้อย โบนัสก็ได้แค่นี้เอง สวัสดิการไม่เอาไหน
และอื่นๆ อีกมากมาย
คิดในมุมกลับไม่มีองค์กรไหนที่ไม่เห็นความสำคัญของตัวคุณ นอกจากองค์กร
ที่คุณกำลังทำงานอยู่ เพราะเขายอมรับและให้โอกาสคุณเข้ามาร่วมงาน
นั่นเพราะองค์กรเห็นศักยภาพ และความสามารถในตัวคุณ
ซึ่งไม่เหมือนกับองค์กรอื่นที่ปฎิเสธและไม่ยอมรับคุณ
หากคุณคิดได้เช่นนี้ ก็น่าจะทำให้คุณมีความรู้สึกดีๆ ต่อองค์กรแล้ว
ไม่ต้องถึงขนาดต้องรักหรือผูกพันก็ได้
“อย่า” เลือกทำงานที่รัก
ขอให้ “เลือกรักงานที่ทำ”
เพื่อให้มีความสุขและสนุกกับงานที่กำลังทำอยู่ ลองพิจารณาคำถาม
เหล่านี้ดูนะคะงานที่คุณกำลังทำคืออะไร
คุณได้ประโยชน์อะไรจากการทำงานนั้น
คุณต้องปรับปรุงพัฒนางานอย่างไร
คุณต้องปรับปรุงความสามารถด้านใด
งานที่ทำอยู่มีอะไรนำไปใช้กับอนาคตของคุณ
ง่ายๆ ก็คือ คุณต้องมีเป้าหมายในการทำงานนั่นเอง หากตอบคำถามทั้ง 5
ข้อแล้วคุณจะค้นพบ “คุณค่า (value)” ที่เกิดขึ้นในตัวคุณ
คุณค่านี้จะทำให้คุณมีความสุขกับการทำงาน ตื่นตัว กระตือรือร้น
และอยากพัฒนาตนเองในทางที่ดีขึ้นตลอดเวลา
“อย่า”ให้ร้ายหัวหน้า ในชีวิตการทำงาน
คุณไม่สามารถเลือกทำงานกับหัวหน้าที่เป็นแบบฉบับที่คุณชอบได้หรอกค่ะ
คุณอาจต้องนั่งกุมขมับทุกวัน เพราะเข้ากับหัวหน้าไม่ได้
หัวหน้าบางคนเจ้าอารมณ์ บางคนสั่งอย่างเดียว บางคนชอบให้ประจบ
บางคนทั้งวันทำแต่งาน ไม่ให้พักผ่อนยืดหยุ่นบ้างเลย
เนื่องจากเลือกหัวหน้า ไม่ได้ ทางที่ดีที่สุดคือ
ควรเข้าใจเหตุผลของการคิดและการกระทำของหัวหน้าคุณ เคารพและให้เกียรติ
หัวหน้าคุณ คอยให้การสนับสนุนและช่วยเหลือหัวหน้าเท่าที่จะทำได้
“อย่า”ดูถูกเพื่อนร่วมงานหรือคนรอบข้าง
ไม่มีใครประสบความสำเร็จในการทำงานโดยลำพังได้
ทุกคนมีศักยภาพมีคุณค่าในตัวเขา
อย่าดูถูกความคิดหรือความสามารถของคนอื่น ทุกคนมีความเด่น

ด้อยแตกต่างกัน คุณสามารถทำงาน ของตนเองได้ดี
แต่ไม่สามารถทำงานของคนอื่นได้
เพราะฉะนั้นควรให้เกียรติเพื่อนร่วมงานหรือ คนรอบข้าง
เพราะในความเป็นจริงแล้วมีปัจจัยอื่นๆ ที่ใช้วัดความสามารถของคน เช่น
การควบคุม อารมณ์ และการปรับตัว สิ่งที่ควรทำอย่างยิ่งคือ
ศึกษาและปรับตัวให้เข้ากับคนได้ทุกประเภททุกระดับ
จิตใจดี เป็นดั่งสวน
ความคิดดีเป็นดั่งรากไม้คำพูดดีเป็นดั่งดอกไม้บานสะพรั่ง
การกระทำดีเปรียบเสมือนผลไม้จิตใจดี คิดดี พูดดี และกระทำดี คือ
พรอันยิ่งใหญ่ที่จะทำให้ทุกคนมีความสุข
ทำอย่างนี้แล้วคุณก็จะสามารถร้องเพลงนี้ได้ค่ะ “สุขกันเถอะเรา
เศร้าไปทำไมอย่ามัวอาลัยคิดร้อนใจไปเปล่า เกิดมาเป็นคน
อดทนเถอะเรา............”


โดย : จุฑารัตน์ สัตนันท์ โรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์ กรมสุขภาพจิต

วิธีทำงานกับ "คนที่ไม่ชอบหน้า"

ก็เข้าใจว่าไม่มีใครเพอร์เฟ็คท์ได้เต็มร้อย

แต่ก็มีไม่น้อยที่ต้องฝืนใจทนทำงานกับคนที่เราแสนจะ..เหม็นขี้หน้า
แต่ถ้าจะปล่อยให้แต่ละวันเป็นวันแห่งความทรมานใจ
ก็เป็นการบั่นทอนกำลังใจเกินไป ลองคิดใหม่ ทำใหม่
ให้ทำงานกันได้ราบรื่นดีกว่าไหม
1. เปิดใจให้กว้าง
ลดความรู้สึกไม่ชอบในใจลงไปสักนิด..แค่นิดเดียวก็จะทำให้คุณฟังเขาพูดได้รื่นหูมากขึ้น
2. เน้นที่ตัวงานมากกว่าตัวคน
เวลาสั่งงานให้เน้นที่งานมากกว่าระบุตัวคุณ เช่นแทนที่เขาจะบอกว่า
"คุณต้องส่งงานนี้ที่ฉัน ภายในวันศุกร์" ก็เปลี่ยนเป็น "รายงานชิ้นนี้ต้องส่งนายวันศุกร์นี้ค่ะ"
3. คุยกันแบบตัวต่อตัวหรือทางโทรศัพท์ สำหรับเรื่องสำคัญ
หรือเรื่องที่คิดว่าจะมีปัญหาผิดใจกันได้ง่ายๆ
4. พูดกันให้สั้น กระชับ ตรงประเด็น ไม่อยากเถียงกันมากขึ้นอธิบายทุกอย่างให้ชัดเจน
5. ให้เขารู้ผลเสียที่จะตามมา ถ้าเขาทำไม่ดี เช่น
บอกว่าถ้าเขาส่งงานไม่ทันเดทไลน์จะเป็นอย่างไร
"ถ้าคุณปิดต้นฉบับไม่ทันศุกร์นี้ หนังสือก็จะออกช้านะ"
6. ถ้ามีประชุม เตรียมพร้อมทุกอย่างในส่วนของตัวเองอย่างดีที่สุด
และก็ไม่ต้องตำหนิใครถ้าคนอื่นไม่พร้อม
7. ถ้ามีเรื่องต้องโต้แย้ง (มั่นใจว่า..มีเถียงแน่ๆ)
ให้จดประเด็นที่ต้องพูดเป็นข้อๆ แล้วคุยให้อยู่ในประเด็นนั้นให้ได้
8. ไม่นินทาฝ่ายตรงข้ามลับหลัง ประเภทว่าปิดกันให้แซด! น่ะ...ถึงเจ้าตัวชัวร์
9. ใจเย็นๆ ถ้าทำงานกับคนที่ไม่ชอบ..นี่คือคาถาที่สำคัญที่สุด

ที่มา : นิตยสาร Cleo

ทำอย่างไรเมื่อมีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน

หากคุณเป็นคนหนึ่ง ที่กำลังมีปัญหา กับผู้ร่วมงาน

ไม่ว่าจะเป็นการขัดแย้งกับเจ้านาย ไม่ถูกกับเพื่อนร่วมงาน
หรือมีปัญหากับลูกน้อง ซึ่งย่อมจะทำให้ คุณรู้สึกหงุดหงิด รำคาญใจ
เบื่อไม่อยากทำงาน เราก็มีคำแนะนำ ในการปรับตัวจากกรมสุขภาพจิตมาฝากกัน
ถ้าคุณรู้สึกเบื่อความวุ่นวาย ในที่ทำงาน เบื่อที่จะต้องประสานงาน กับคนหลาย ๆ คน
คุณอาจเปลี่ยนงาน ไปทำงาน ที่ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับผู้คนมากนัก เช่น
ทำงานด้านเอกสาร ทำงานด้านศึกษาค้นคว้า ทำงานกับคอมพิวเตอร์
หรือทำงานในห้องทดลองแทน เป็นต้น
แต่ถ้าคุณไม่สามารถเปลี่ยนงานได้ ก็ควรปรับเปลี่ยนตัวเอง
โดยให้ความสนใจคนรอบข้าง ให้น้อยลงกว่าเดิม ใครจะนินทาใคร
คุณก็เดินหนีไม่ร่วมฟังด้วย ใครจะนินทาคุณ คุณก็ไม่ใส่ใจ ถือเสียว่า
เป็นเรื่องธรรมดา ใคร ๆ ก็เคยถูกนินทาด้วยกันทั้งนั้น และการมีคนนินทา

ยังแสดงว่า มีคนให้ความสนใจคุณด้วย คุณควรมุ่งความสนใจ ไปที่งานให้มากขึ้น
ตั้งใจทำงานให้ดีที่สุด เพื่อให้เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน และลูกน้อง
ยอมรับในความสามารถของคุณ ถ้าคุณมีปัญหากับใคร
ควรใช้หลักการ ประนีประนอม พูดจากันด้วยเหตุผล
เพื่อปรับความเข้าใจกัน และอาจหาคนกลาง มาช่วยไกล่เกลี่ยปัญหา ด้วยก็ได้
ถ้าคุณรู้สึกว่า ถูกเพื่อนร่วมงานเอาเปรียบ โดยการขอให้คุณช่วยงานเขาบ่อย ๆ
ก็ควรคิดหา คำปฏิเสธ ที่มีเหตุผลเอาไว้ล่วงหน้า ถ้าเขามาขอความร่วมมือ
จากคุณอีก คุณจะได้ปฏิเสธเขาไป อย่างนุ่มนวล ไม่เสียสัมพันธภาพต่อกัน
ถ้าคุณไม่มีเพื่อนสนิท ในที่ทำงานเลย อยากให้คุณ หาเพื่อนต่างที่ทำงาน
เอาไว้สักคน สองคน เพื่อปรับทุกข์เรื่องงานกัน หรืออาจจะปรึกษา
คนในครอบครัวก็ได้ค่ะ จะช่วยให้คุณรู้สึกว่า ไม่โดดเดี่ยว และไม่ได้ถูกทิ้ง
ให้สู้ปัญหาตามลำพัง


ที่มา : http://www.manfocus.com

7 วิธีทำให้ผลงานของคุณเข้าตาเจ้านาย

1.เลี่ยงการปฏิเสธ คุณจะได้รับความชื่นชมหากเป็นคนไม่เกี่ยงงาน

2.สงบเสงี่ยมเจียมปากเข้าไว้ หากเจ้านายทำผิดพลาด
แล้วเรามองข้ามเหมือนเป็นการถนอมน้ำใจกันอย่างหนึ่ง
พูดอะไรออกไปเท่ากับหักหน้าเขา ทำให้คุณหมดอนาคตในหน้าที่การงานเสียเปล่าๆ
3.มีความรับผิดชอบสูง รู้ว่างานของตัวเองคืออะไร
ทำหน้าที่รับมอบหมายมาให้ดีที่สุด
ไปยุ่งงานคนอื่นเพื่อให้เจ้านายเห็นผลงานไม่เป็นการดีหรอก
ทำให้เหมือนว่างานที่ทำอยู่นั้นน้อยเกินไป
ทำให้คุณว่างจนไปยุ่มย่ามกับงานคนอื่น
4.อย่างเถียงเป็นอันขาด แม้ว่าคุณเป็นฝ่ายถูก เขาอาจไม่ได้กุมอำนาจสูงสุด
แต่การเลื่อนขั้น ขึ้นเงินเดือน อยู่ภายใต้การสนับสนุนของเขา
ฉะนั้นเลี่ยงได้เลี่ยงไป เปลี่ยนการเถียงเป็นการชี้แจงดีกว่า
5.รู้ว่าตัวเองควรทำคะแนนเวลาไหน ต้องระวังด้วยว่า
การนำเสนอความคิดสร้างสรรค์ของคุณไม่ได้เป็นการทำให้เจ้านายเสียหน้า
การแสดงตัวว่าเก่งกาจกว่าคนอื่นๆ โดยเฉพาะเจ้านายจะทำลายความก้าวหน้าของคุณได้
6.กำจัดนิสัยช่างนินทา เพราะพฤติกรรมแบบนี้เหมือนกับแทงผู้อื่นข้างหลัง
อย่านินทาเจ้านาย เพราะคุณไม่มีทางรู้เลยว่า ความจะไปถึงหูของเจ้านายเมื่อไร
7.อย่าข้ามหน้าข้ามตาเจ้านาย
ไม่ว่าจะทำงานออกมาดีเลิศขนาดไหนไม่ควรเอาผลงานไปให้เจ้านายคนอื่นดูโดยที่ไม่ได้ผ่านตาเจ้านายตัวเองก่อน นอกจากเป็นการไม่ให้เกียรติแล้ว ยังจะทำให้เขาเหม็นหน้าคุณเปล่าๆ

ที่มา : http://www.story2you.com

รักให้เป็น รักยังไง

"ความรัก" ต้องวางอยู่บนรากฐานแห่งความมีสติ
รักอย่างมีปัญญา เพราะจะทำให้ผู้รักมีความสุข เป็นอิสระ
ไม่มีจิตใจที่คับแคบ ที่จะผูกมัดรัด "เขา" เอาไว้เป็นของ
คงต้องหันกลับมามองความรักกันใหม่...

เริ่มจาก "ใจ" ของเราก่อน ลองหันกลับมามองตัวเองอย่างจริงใจ
และมีเมตตา ว่าเรา "รัก" ตัวเราเองเป็นหรือเปล่า...
ลองมองดูซิว่าเราดูแลกาย จิตและวิญญาณ ของเราดีอยู่หรือไม่...
เราเบียดเบียนตัวเราเองจนเกิดทุกข์บ้างไหม...
เราต้องเริ่ม "รัก" ตัวเองให้เป็นเสียก่อน...
ถ้าเรา "รัก" ตัวเรา เราจะมีเมตาต่อตัวเอง...
เราจะไม่เบียดเบียนหรือทำร้ายใจของเราให้ขุ่นมัว...
แล้วเราจะรักตัวเองอย่างไม่เห็นแก่ตัว แต่ระมัดระวังใจเราอย่างดี..
ใจอย่างนี้จะเข้มแข็งและมีพลังแห่งความรักกว้างขวางยิ่งใหญ่...
ต้องเตือนใจเราเองอยู่เสมอว่า "เราจะรักอย่างมีสติ"....
พร้อมด้วยปัญญา จะต้องไม่ติดอยู่ในความหลงไหลไร้สติ...
ที่มุ่งคิดแต่จะให้เขากลับมาตอบสนองเรา เราจึงจะมีความสุข...
เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น เรานั่นเองแหละที่จะเจ็บปวดและเกิดทุกข์...
จงเป็นสุขที่ได้รักเถิด รักอย่างไม่มีเงื่อนไข...
รักอย่างไม่คิดยึดครองไว้เป็นของตน..
และรักอย่างไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน...
ถ้าทำได้...จะเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่...
ไม่คับแคบหากแต่ งดงามอย่างกว้างขวาง ....
ไม่มีที่สุด...ไม่มีประมาณ.....
"รักใด ยิ่งรัก ยิ่งทุกข์ ตายอยู่บนกองทุกข์ อย่าบุกต่อ
รักใด ยิ่งรัก ยิ่งหมดทุกข์ เยือกเย็น อยู่เหนือทุกข์ ขอให้รุก ให้ดี..."
ต้องเตือนใจเราเองอยู่เสมอว่า "เราจะรักอย่างมีสติ".... พร้อมด้วยปัญญา
ขอขอบคุณ : บทความจากหนังสือ เพื่อนทุกข์ ๒ แม่ชีศันสนีย์ เสถียร

วิธีคิดอย่างมีระบบ เมื่อถูกแฟนทิ้ง

สำหรับนายธนาคาร มันเป็น NPL ทางความรู้สึก
สำหรับนักเศรษฐศาสตร์ เป็นเรื่องของ demand ไม่ตรงกับ supply
สำหรับนักปกครอง เป็นสิ่งปกครองยาก
สำหรับนักเคมี เป็นเรื่องสารประกอบในตัว 2 คนนี้ไม่เข้ากัน
สำหรับสถาปนิก เดี๋ยวออกแบบรักใหม่ก็ได้
สำหรับนักสัตวศาสตร์ สัตว์ทุกชนิดมีการดำรงชีพในแบบของตัวเอง
สำหรับช่างไฟฟ้า ฟิวส์ขาด ต้องเปลี่ยน
สำหรับวิศวโยธา สั่งรื้อสถานเดียว
สำหรับเซลล์แมน เดี๋ยวเขาก็กลับมาเมื่อเรามีโปรโมชั่น
สำหรับทหารเรือ จะไปได้สักกี่น้ำ
สำหรับโปรแกรมเมอร์ อาการนี้ไวรัสลงแน่ๆ
สำหรับนักบัญชี ก็แค่ปิดงบไม่ลงตัว
สำหรับทนายความ ยังไงก็ต้องยื่นอุทธรณ์ให้ถึงที่สุด
สำหรับคนธรรมะธรรมโม เขาต้องไปใช้กรรมกับคนอื่นต่อ

ข้อปฏิบัติในการใส่บาตร

1. นิมนต์พระ
หลังจากที่เราเตรียมสำรับกับข้าวเรียบร้อยแล้ว เราก็ยืนรอพระที่จะเดินบิณฑบาตผ่านมา
การยืนรอพระในขั้นตอนนี้ ควรศึกษาให้ดีเสียก่อนว่า เส้นทางนี้มีพระเดินผ่านหรือไม่
ไม่ใช่ว่าไปรอบนทางสายเปลี่ยวที่ไม่มีพระเดินผ่าน คงไม่ได้ใส่กันพอดี
รอซักพัก พอมีพระเดินมาก็นิมนต์ท่าน
การนิมนต์ ก็ควรใช้คำว่า "นิมนต์ครับ/ค่ะท่าน" แค่นี้พระท่านก็ทราบแล้ว
ตอนเป็นพระเคยเดินบิณฑบาตที่ตลาดเขมร โยมนิมนต์ด้วยถ้อยคำอันรื่นหูว่า "ท่านเจ้าประคุณเจ้าคะ
นิมนต์เจ้าค่ะ" (ใช้คำไฮโซมาก)
มีอีกทีนึงโยมใช้คำว่า "นิมนต์เจ้าค่ะ พระอาจารย์" (เอ่อ โยม อาตมาเพิ่งบวชอาทิตย์เดียว)
การนิมนต์พระควรนิมนต์ด้วยความสำรวมและใช้เสียงดังพอประมาณ
โยมบางคนเรียกพระด้วยเสียงอันดัง "นิ โมนน!!" (แง้ ทำไมต้องตะคอกด้วย - -")
การนิมนต์ควรสังเกตอายุของพระด้วย
ถ้าอายุน้อยกว่าเราหรือว่าเยอะกว่าไม่มากก็เรียกว่าหลวงพี่ ถ้ามีอายุหน่อยก็เรียกหลวงน้า ถ้าแก่พรรษา
มากก็เรียกหลวงตา หรือนอกจากนี้ก็อาจจะเรียกหลวงอา หลวงลุง หลวงปู่ฯลฯ แล้วแต่จะลำดับญาติ
อย่างฉันปีนี้อายุ ๒๓ ปี หน้าตาค่อนข้างเด็ก แต่เคยมีโยมใช้คำว่า "นิมนต์ค่ะ หลวงลุง" ทำเอาเสีย
self จนอยากสึกออกไปทำ baby face
โยมบางคนคงเขินอายพระ เนื่องจากไม่ค่อยได้ใส่บาตรเท่าไร เวลาพระเดินมาก็ยื่นมือออกมาทำท่า
กวักๆ ทำเหมือนพระเป็นรถเมล์ หลังจากนิมนต์พระ ก็เข้าสู่ขั้นตอนถัดไปคือ

2. จบ
อันนี้ไม่ได้หมายความว่าเรื่องจบแล้วนะ การจบ หมายถึง การเอามาทูนไว้ที่หัวแล้วอธิษฐาน
การจบ ควรใช้เวลาอธิษฐานแต่พองาม ไม่ต้องอธิษฐานนานจนเกินไป
เคยมีโยมนิมนต์ไปรับบาตร ไอเราก็เดินไปเปิดฝาบาตรรอรับ โยมก็จบอยู่ ขอบอกว่านานมากกกกกกก
นานจนรู้สึกได้ นานจนอดคิดไม่ได้ว่า "โยมขออะไรเราน้า?"

3. ถอดรองเท้า ยืนด้วยเท้าเปล่า
จริงๆแล้ว จุดประสงค์ของการถอดรองเท้าคือเป็นการให้ความเคารพพระสงฆ์โดยการไม่ยืนสูงกว่าท่าน
เพราะเวลาพระสงฆ์บิณฑบาตจะเดินเท้าเปล่า แต่มีญาติโยมบางคนไม่เข้าใจเกี่ยวกับการถอดรองเท้าซึ่ง
มีหลายประเภทเหมือนกัน เช่น บางคนถอดรองเท้าอย่างเรียบร้อยแต่ยืนบนรองเท้า - -" (สูงกว่าเดิมอีก)
บางคนถอดรองเท้าและยืนบนพื้นจริง แต่ว่าตัวเองยืนบนฟุตบาท พระยืนบนพื้นถนนซะงั้น (หนักกว่าเก่า)
เคยมีเรื่องเล่าว่า มีโยมคนนึงยืนใส่บาตรพระ พระเห็นว่าโยมใส่รองเท้าเลยแนะนำโยมไปว่า
พระ : "โยม อาตมาว่าโยมควรถอดรองเท้าใส่บาตรนะ" โยมมีสีหน้าตกกะใจ ตอบพระไปว่า
โยม : เอ่อ จะดีเหรอคะ
พระ : ไม่เป็นไรหรอกโยม
โยมก็จัดแจงถอดรองเท้า ยกขึ้นมาพร้อมกับถามพระว่า
โยม : จะให้ใส่ข้างเดียวหรือว่าสองข้างเลยคะ
บ้า!! ท่านหมายถึงถอดรองเท้าเวลาใส่บาตร ไม่ใช่ถอดรองเท้าเอามาใส่ในบาตร
อันนี้เป็นเรื่องที่หลวงน้าท่านนึงเล่าให้ฟังระหว่างฉันเพล (เรื่องขำขันขณะฉันเพล)
พอถอดรองเท้าเสร็จก็เข้าสู่ขั้นตอนที่สี่

4. ใส่บาตร
อันนี้ถือเป็นจุดไคลแมกซ์ของการใส่บาตร
สิ่งสำคัญที่ทุกคนมองข้ามก็คือควรดูว่าของที่นำมาใส่บาตรนั้น เสียรึเปล่า
บางคนมีเจตนาอยากทำบุญดี แต่ดันไปซื้อของเสียมาใส่บาตร พระฉันไป เข้าห้องน้ำไป
พวกร้านค้าก็จริงๆ บางครั้งเอาของค้างคืนมาขายเอากำไร ไม่สนใจพระเจ้า เห็นแก่ตัว หากินกับพระ
ก็ฝากด้วยนะครับ เด๋วทำบุญจะได้บาปเปล่าๆ
นอกจากนี้ ของที่นำมาใส่ ถ้าเพิ่งปรุงสุกเสร็จ ควรดูด้วยว่ามันร้อนมากรึเปล่า
เคยมีโยมใส่แกง ร้อนมากๆๆ บาตรเกือบหล่น ทั้งนี้เพราะบาตรทำจากโลหะ นำความร้อนได้ดี
ปริมาณไม่ควรมากจนเกินไป เคยมีโยมใส่บาตรด้วย "กล้วย ๓ หวี"
กล้วยเล็บมือนาง กล้วยไข่ อาตมาไม่ว่า แต่นี่ใส่ "กล้วยหอม" (อันนี้เกิดกับตัวเองจริงๆ)
คิดดู "กล้วยหอม ๓ หวี" อยู่ในบาตร หนักมากกกก จนอยากบอกโยมว่า "โยม อาตมาไม่ใช่ช้าง"
การใส่ก็ควรวางในบาตรด้วยอาการสำรวม โยมผู้หญิงบางคนกลัวโดนพระจัด พอถุงกับข้าวถึงแค่ปากบาตร ก็ปล่อยลงมา ตุ๊บ!! นึกว่ากาลิเลโอกลับ
ชาติมาทดลองเรื่องแรงโน้มถ่วงของโลก (วางดีๆก็ได้ 55)
ขั้นตอนต่อไปคือ


5. รับพร
หลังจากใส่บาตรเสร็จ พระสงฆ์ส่วนมากก็จะให้พร
เราเป็นญาติโยม ก็ประนมมือรับพรกันตามระเบียบ โดยอาจยืนหรือนั่งยองๆ ก็ได้ ก้มหัวแต่พองาม
เคยมีโยมยืนประนมมือ แต่ก้มหน้ามาแทบชนพระ ห่างจากหน้าพระประมาณคืบเดียว
(ไม่ต้องใกล้ชิดศาสนาขนาดนั้นก็ได้โยม (ตอนนั้นให้พรเบาๆ เพราะไม่มั่นใจเรื่องกลิ่นปาก))
ถ้าเป็นโยมผู้หญิงก็นั่งให้เรียบร้อย เหมาะสม ระหว่างนี้ก็อุทิศส่วนกุศลให้คนที่รัก เจ้ากรรมนายเวร
และอื่นๆ ก็ว่ากันไป

เคล็ดลับการบริหารเวลาให้มีประสิทธิภาพ

ในยุคที่เต็มไปด้วยการแข่งขันเร่งรีบนี้ หลายคนคงรู้สึกเหมือนๆ กันว่า "ไม่มีเวลา" หรือ
"เวลาไม่เคยพอ" อยู่ตลอดเวลา
ขั้นที่ 1 เตรียมตัว
1. ทบทวนสภาพการใช้เวลาในแต่ละวันของคุณว่าเป็นอย่างไร จดรายละเอียดกิจกรรมแต่ละวัน
 ดูว่างานหรือกิจกรรมอะไรที่ทำให้เสียเวลาโดยไม่จำเป็น
2. อย่าให้เวลามาเป็นอุปสรรค ถ้าคิดจะทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ อย่าคิดว่ามีเวลาไม่พอ เอาสิ่งนี้เป็นเป้าหมายหลัก ให้เวลากับสิ่งนี้ก่อน แล้วค่อยจัดสรรเวลาให้กับกิจกรรมอื่นๆ
3. ถ้าอยากมีเวลาที่มีคุณภาพ ก็ต้องเชื่อว่าคุณทำได้ เชื่อมั่นอย่างนี้เสียก่อนแล้วคุณถึงจะลงมือ
จัดการบริหารเวลาได้
ขั้นที่ 2 ลงมือทำ
4. วางแผนล่วงหน้า ในแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ แต่ละเดือน และดูว่าอะไรสำคัญเป็นอันดับแรก ใช้สูตร
20/80 การทำงานสำคัญอันดับต้นๆ 20% ของงานทั้งหมด ผลที่ได้ถือว่า ได้ 80% ของเป้าหมาย
ทีเดียว จะทำให้เราไม่ยุ่งไปหมดโดยไม่ได้งานตามเป้าหมาย วิเคราะห์ให้ดีด้วยว่าอะไรสำคัญก่อน
หลัง
5. ตัดกิจกรรมจุกจิกที่ไม่ก่อให้เกิดผลสำเร็จตามเป้าหมาย เช่น การรับโทรศัพท์ การรับแขก งานด่วน
ที่แทรกเข้ามาโดยไม่คาดฝัน
6. ให้ความสำคัญที่สุดกับ 3 อันดับแรก เพราะถ้าให้จดรายละเอียดของสิ่งที่จะต้องทำทั้งหมดก็จะ
เขียนได้ยาวเหยียดและเพิ่มเติมเข้ามาเรื่อยๆ ได้ เพราะฉะนั้นเพ่งไปที่ 3 อันดับแรก คุณอาจจะตก
หล่นเรื่องอื่นไปบ้าง แต่งานที่สำคัญจะบรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และคุณจะรู้สึกว่าสามารถจัดการ
เวลาและชีวิตของตัวเองได้อยู่มือ ไม่เกิดความโกลาหล เหนื่อยล้า การจำกัดลำดับความสำคัญอยู่
แค่ 3 สิ่ง จะทำให้คุณทำงานได้คล่องขึ้น เครียดน้อยลง เช่น 3 สิ่ง ของคุณนั้นคือ งาน ครอบครัว 
ตัวเอง ในแต่ละวันคุณจะสบายใจที่จะกลับบ้านทันทีหลังเลิกงาน
ไม่ทำงานล่วงเวลา เพื่อจะได้กลับไปใช้เวลากับลูกและครอบครัว และเมื่ออยู่กับลูกและครอบครัวก็
ไม่รู้สึกกังวลเรื่องงาน เพราะเมื่ออยู่ที่ทำงาน คุณก็พยายามทำงานอย่างเต็มที่และอย่างมี
ประสิทธิภาพ สำหรับเวลาของตัวเอง คุณอาจจะตั้งเป้าหมายว่าแต่ละวันหลังใช้เวลากับครอบครัว
แล้ว ก็จะจัดแบ่งเวลาไว้อ่านหนังสือที่อยากอ่านสักวันละชั่วโมงสองชั่วโมง เป็นต้น
7. ตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้ ทำได้จริงด้วย เช่น 3 สิ่งที่ว่า อาจย่อกิจกรรมบางอย่างให้เล็กและสั้นลง
8. อย่ารู้สึกผิด ที่ไม่สามารถทำสิ่งต่างๆ ได้ทั้งหมด หรือมีประสิทธิผลดีเยี่ยมไปทุกเรื่อง
9. กล้าที่จะปฏิเสธ ไม่ต้องกลัวว่าคนเขาจะว่าไม่มีน้ำใจ เพราะจะดีกว่ารับปากแล้วทำไม่ได้
10. รู้จักเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น บางคนงานโอเวอร์โหลดเพราะไม่กล้า ขอความช่วย
เหลือหรือแบ่งงานกับคนอื่น มองโลกในแง่ดีว่า คนเรามีพื้นฐานยินดีจะช่วยเหลือกันและกันอยู่แล้ว
11. ลงมือทำเสียแต่วันนี้ การผลัดวันประกันพรุ่ง มีแต่จะทำให้เวลาที่มีอยู่น้อยลงทุกที

ขอบคุณ นิตยสาร Teen, Kids & Family

วันศุกร์, สิงหาคม 28, 2552

ต้นแอปเปิ้ลกับเด็กน้อย

แคร์ความรู้ซึกคนอื่น ไม่ใช่เรื่องอ่อนแอ แต่เป็นเรื่องอ่อนโยน

มิใช่เรื่องแข็งกระด้าง แต่เป็นเรื่องจิตใจที่แข็งแกร่ง
มิใช่เรื่องพ่ายแพ้ แต่เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่
นานมาแล้ว มีต้น แอปเปิ้ลใหญ่อยู่ต้นนึง และก็มีเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ คนนึง
ชอบเข้ามาอยู่ใกล้ๆและเล่นรอบๆต้นไม้นี้ทุกๆวัน
เขาปีนขึ้นไปบนยอดของต้นไม้ และก็กินผลแอปเปิ้ล และก็นอนหลับไปภายใต้ร่มเงาของต้นแอปเปิ้ล เขารักต้นไม้ และต้นไม้ก็รักเขา
เวลาผ่านไป เด็กน้อยโตขึ้น และเขาไม่มาวิ่งเล่นรอบๆต้นไม้ทุกวันอีกแล้ว วันหนึ่ง เด็กน้อย กลับมาหาต้นไม้ เด็กน้อยดูเศร้า ' มาหาฉัน และมาเล่นกับฉันเหรอ ' ต้นไม้ถาม
' ฉันไม่ใช่เด็กเล็กๆแล้วนะ ฉันไม่อยากเล่นรอบๆต้นไม้อีกแล้ว ฉันต้องการของเล่น
ฉันอยากได้เงินไปซื้อของเล่น ' เด็กน้อยตอบ ' ฉันไม่มีเงินจะให้ .... เก็บลูกแอปเปิ้ลของฉันไปขายสิ
เพื่อเอาเงินไปซื้อของเล่น ' ต้นไม้ตอบ เด็กน้อยตื่นเต้นมาก เขาเก็บลูกแอปเปิ้ลไปหมดและจากไป
อย่างมีความสุข หลังจากเขาเก็บแอปเปิลไปหมดแล้ว เขาไม่กลับมาหาต้นไม้อีกเลย ต้นไม้ดูเศร้า ....
วันหนึ่ง เด็กน้อยกลับมา เขาดูโตขึ้น ต้นไม้รู้สึกตื่นเต้นมาก ' มาหาฉัน และมาเล่นกับฉันเหรอ '
ต้นไม้ถาม ' ฉันไม่มีเวลามาเล่นหรอก ฉันมีครอบครัวแล้ว ฉันต้องทำงานเพื่อครอบครัวของฉันเอง
เราต้องการบ้าน ช่วยฉันได้ไหม ' ' ฉันไม่มีบ้านจะให้ แต่ ... ตัดกิ่งก้านของฉันไปสิ .... เอาไปสร้างบ้าน '
ดังนั้นเด็กน้อยตัดกิ่งก้านทั้งหมดของต้นไม้ไป และจากไปอย่างมีความสุข
อีกครั้งที่ต้นไม้ถูกทิ้งให้เดียวดาย และเศร้า ....
วันหนึ่งในฤดูร้อน เด็กน้อยกลับมา ต้นไม้ดีใจมาก ' มาหาฉัน และมาเล่นกับฉันเหรอ ' ต้นไม้ถาม
' เปล่า ฉันรู้สึกผิดหวังกับชีวิต และเริ่มแก่ขึ้น ฉันอยากแล่นเรือไปพักผ่อนไกลๆ ให้เรือฉันได้ไหม '
' ใช้ลำต้นของฉันได้ เอาไปสร้างเรือ เพื่อเธอจะได้เล่นเรือไปและมีความสุข ' ต้นไม้ตอบ
ดังนั้น เด็กน้อยตัดลำต้นของต้นไม้ไปสร้างเรือ เขาล่องเรือไป และไม่เคยกลับมาอีกเลย
หลายปีผ่านไป ในที่สุดเด็กน้อยกลับมา คราวนี้เขาดูแก่ลงไปมาก
' ฉันเสียใจ ฉันไม่เหลืออะไรจะให้อีกแล้ว ไม่มีผลแอปเปิ้ลให้ ... ฉันไม่มีลำต้นให้ปีนอีกแล้ว '
' ฉันไม่มีฟันจะกินแล้ว ฉันปีนไม่ไหว และฉันก็แก่แล้ว ' เด็กน้อยตอบ
' ฉันไม่มีอะไรเหลือให้อีกแล้ว สิ่งเดียวที่เหลือ มีเพียงรากที่กำลังจะตาย '
' ตอนนี้ฉันไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว แค่อยากได้ที่พักพิง ฉันเหนื่อยมาหลายปีแล้ว '
' รากของต้นไม้แก่ๆ จะเป็นที่พักพิงของหนูได้ ......
 มาสิ นั่งลงข้างๆฉัน ... หลับให้สบาย
เด็กน้อยนั่งลงข้างๆ ต้นไม้ดีใจ ยิ้ม ... และน้ำตาไหล ..
นี่เป็นเรื่องสำหรับทุกๆคน ต้นไม้ในเรื่องคือพ่อแม่
เมื่อเราเป็นเด็กตัวเล็กๆ เรารักที่จะเล่นกับพ่อกับแม่ ...
เมื่อเราโตขึ้น เราทอดทิ้งพ่อ และแม่ และกลับมาหาท่าน
เมื่อเราต้องการบางสิ่งบางอย่าง หรือเมื่อเรามีปัญหา
ไม่ว่าอย่างไร ... พ่อ และแม่ของเราก็จะอยู่และให้ทุกสิ่งอย่างที่ท่านทำได้
หวังเพียงเรามีความสุข คุณอาจจะคิดว่า ' เด็กน้อย ' ในเรื่องโหดร้าย
แต่นั่นคือความจริงที่สะท้อนให้เห็นว่าพวกเราทำกับผู้มีพระคุณอย่างไร ?
........ แล้วต้นไม้ของคุณล่ะ ....... เด็กน้อย ....

วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 27, 2552

บันได 5 ขั้นสู่ชีวิตใหม่ที่มีค่าและเป็นสุข

บันไดขั้นที่ 1 มองตัวเองว่าดีและมีค่าทุกวัน
ในแต่ละวันให้นึกถึงความดี และความโชคดีของตนเอง เริ่มต้นด้วยการ……..
1. ตื่นนอนตอนเช้า ให้ยิ้มกับตัวเอง และนึกว่าโชคดีที่ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว
2. ให้นึกถึงความดีของตนเอง ที่เคยทำมาแล้วในอดีต (ที่สามารถนึกได้ง่ายๆ) เช่น เคยทำบุญ เคยช่วยคนที่อ่อนแอกว่า เคยสงเคราะห์สัตว์ ฯลฯ คิดว่าตัวเองดี และมีคุณค่าที่ได้เคยทำสิ่งดีๆ และให้นึกซ้ำๆ จะได้เกิดความเชื่อตามที่นึกนั้น คุณก็จะเกิดความอิ่มเอิบใจ และเชื่อว่าตัวเองมีความดี ความเก่ง ตามความเป็นจริงในขณะนั้นด้วย คุณจะเกิดความอยากมีชีวิตอยู่ และสร้างสิ่งที่ดีๆ ให้กับชีวิตต่อไป และ
3. ต้องอวยพรตัวเองเสมอๆ อย่าแช่ง หรือตำหนิตัวเอง และอย่ารอให้คนอื่นมาชื่นชมคุณ ซึ่งมักจะไม่ได้ดั่งใจ หรือได้มาก็ไม่สมใจ

บันไดขั้นที่ 2 มองคนอื่นดี มองโลกในแง่ดี ขั้นนี้คุณจะต้องมองว่า…..
1. ทุกๆ คน มีขีดจำกัดของความสามารถ ความดี ความเก่งกันทุกคน ตามความเป็นจริงของเขา ซึ่งไม่เท่ากัน และไม่เหมือนกันเลย
2. ส่วนความไม่ดี หรือไม่เก่งของเขา (ซึ่งมีกันทุกคน) ปล่อยให้เป็นเรื่องของเขาไป ให้มองเฉพาะส่วนที่ดีของเขาเท่านั้น ถ้าคุณทำได้เช่นนี้ คุณก็จะเป็นคนที่มองอนาคต และชีวิตดี มีความหวังที่ดีในชีวิตตลอดเวลา สองสิ่งนี้ ถ้าคุณทำเป็นนิสัย คุณจะพบว่า โลกนี้มีสิ่งที่ดีๆ และไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคต่างๆ และท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นสุขนิยมทั้งชีวิต

บันไดขั้นที่ 3 ทำวันนี้ให้ดีที่สุด คือ…..
1. การอยู่กับปัจจุบัน ทำกิจกรรมในวันนี้และเวลานี้ให้ดีที่สุด ทำได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ไม่ทุกข์ร้อน หรือคาดหวังกับผลลัพธ์ของมัน ไม่ว่าจะสมใจ หรือไม่สมใจก็ตาม
2. จงชื่นชมในความตั้งใจ ทำเต็มความสามารถของตนเอง และคิดต่อว่า ในอนาคตจะต้องทำให้ดีกว่านี้ นอกจากนั้น
3. คุณต้องเลิกจดจำ หรือนึกถึงเรื่องที่ไม่ดีที่เกิดกับคุณในอดีต เพราะการจดจำเรื่องราวที่ไม่ดีในอดีต เท่ากับคุณไปสะกิดแผลในใจ และจะทำให้คุณเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น จนส่งผลให้ปัจจุบันคุณไม่มีความสุข และกลัวว่าอนาคตจะเกิดสิ่งที่ไม่ดีซ้ำๆ อีก

บันไดขั้นที่ 4 มีความหวังและเชื่อว่าอนาคตจะดีเสมอ
1. จงนึกและบอกกับตัวเองเสมอว่า อนาคตจะดีขึ้นอีกเรื่อยๆ จะส่งผลให้เกิดกำลังใจมากขึ้น อยากพบเห็นสิ่งต่างๆ ที่จะเข้ามาในชีวิตโดยไม่กลัว
2. มีอารมณ์ขัน และไม่จริงจังกับชีวิตมากนัก แต่จะมีความหวังที่ดีๆ (Good Hope) อยู่เสมอ แต่อย่ามีความคาดหวัง ( Expectation) กับชีวิต เพราะถ้าคาดหวังกับชีวิต เรามักจะกลัว หรือกังวลว่าจะไม่ได้ผลลัพธ์ดังความคาดหวัง หรือเมื่อได้มาแล้วก็มักไม่พอใจ จึงอาจทำให้เกิดทุกข์ได้

บันได้ขั้นที่ 5 ปรับปรุงตัวเองเสมอ โดยปรับปรุง 4 ส่วนที่มีความสำคัญต่อชีวิต คือ
1. การงาน ให้มีความขยัน อดทน หมั่นหาความรู้ใส่ตัว และกล้าลงมือปฏิบัติในสิ่งที่ควรทำ จะทำให้มีการลงมือทำสิ่งใหม่ๆ ในชีวิตได้เรื่อยๆ และปรากฏเป็นผลงานที่ชัดเจน
2. ครอบครัว จะต้องยึดหลักที่เป็นมงคลต่อกันคือ ไม่อิจฉา ไม่ระแวง ไม่แข่งขัน ไม่นอกใจ รู้จักการให้และการอภัย มีน้ำใจ และรู้จักเกรงใจกัน
3. สังคม หมั่นสร้างมิตรเสมอ มีการให้ความสำคัญกัน ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และพูดจากันแบบปิยะวาจา
4. ตนเอง ต้องมีการพัฒนาตนเองเสมอ มีความภูมิใจตนเองตามความเป็นจริง สามารถให้กำลังใจตัวเองได้ และมีกำลังใจที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทางที่ดีขึ้น

วันอาทิตย์, สิงหาคม 23, 2552

โทรศัพท์สื่อนิสัย

ถ้าประเภทกดโทรศัพท์ไปแล้วเริ่มต้นด้วยการทักทายกันพอเป็นพิธี หลังจากนั้นก็จะพูดแต่เรื่องที่ต้องการพูดอย่างเดียว ไม่มีเรื่องอื่นๆ เข้าปน พอพูดเสร็จก็รีบวางสาย แสดงว่า เป็นคนค่อนข้างใจร้อน ไม่ค่อยอดทนกับสิ่งที่เข้ามากระทบเท่าใดนักรักความสันโดษ ไม่ชอบสุงสิงกับใครและไม่ชอบเข้าสังคม ถ้าวันไหนเห็นเค้าออกงานละก็เดาได้เลยว่าต้องถูกมอบหมายจากเจ้านายมาแน่นอน เค้าเป็นคนเอาจริงเอาจังและมุ่งมั่นที่จะทำให้งานที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จ แค่เป็นคนไม่ค่อยมีมนุษยสัมพันธ์เท่าใดนัก แถมขาดความโรแมนติกเอามากๆ ด้วย
ถ้าโทรศัพท์แล้วชอบพูดเรื่องโน้นเรื่องนี้ก่อน เมาท์...เมาท์ หาสาระอะไรไม่ได้เลย ไม่ยอมเข้าเรื่องสักทีคนพวกนี้อาจจะมีนิสัยแย่ เพราะโดยภาพรวมแล้วเป็นคนที่หาแก่นสารอะไรในชีวิตไม่ค่อยได้ เรื่อยเปื่อยเลื่อนลอยไปวัน ๆ ดีแต่ปากทำงานไม่ได้เรื่องคนพวกนี้มักจะได้รับสมญานามว่า “คาสโนว่า” หรือ “คาสโนวี่”เพราะมีปากเป็นเอก แต่ถ้าคบเป็นแฟนอาจจะต้องเหนื่อยหน่อยเพราะต้องคอยคุมความประพฤติเค้าอยู่ตลอดเวลา
ถ้าคุยโทรศัพท์แล้วพูดถูกๆ ผิด ๆ อยู่เสมอ แสดงว่าเป็นพวกขาดความมั่นใจ หรือไม่ก็ต้องโก๊ะๆ ซุ่มซ่ามเป็นกิจวัตร เป็นคนไม่ค่อยมีแบบแผน เวลาทำอะไรสักอย่างก็ไม่ค่อยวางแผน ต้องมาคอยแก้ปัญหาทีหลังเสมอ อย่าหวังพึ่งคนพวกนี้มากนัก ทำให้เค้ากลายเป็นคนไม่น่าเชื่อถือในสายตาคนอื่น
ถ้ายกหูโทรศัพท์แล้วมีการไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกันก่อนจะคุยเรื่องอื่น บอกได้เลยว่าเป็นคนที่มีน้ำใจชอบช่วยเหลือผู้อื่น เป็นพวกอนุรักษนิยม มีการวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนก่อนจะลงมือทำอะไร และเป็นคนมีกาลเทศะมากแต่จะมีข้อเสียตรงที่ตรงเกินไป ไม่ค่อยยืดหยุ่น และหากเกลียดขี้หน้าใคร หรืออาฆาตใครละก็จะร้ายลึกและเล่นไม่เลิกเลยทีเดียว
ส่วนเวลารับโทรศัพท์ หากใครพูดว่า “สวัสดีค่ะ”, “สวัสดีครับ” หรือ “ฮัลโหล ก็ถือว่าเพลน ๆ พื้น ๆ ปกติเหมือนคนทั่วไป แต่ถ้าตอบรับโดยใช้ชื่อตัวเองแทน อย่าง “ดิฉันแตงโมค่ะ” หรือ “ผมพี่ติ๊กครับ” ประมาณเนี้ยแสดงว่าเป็นคนที่รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ไม่ยึดติดกับกฎเกณฑ์เก่า ๆ
ถ้าตอบรับแล้วบอกสถานที่ก่อน อย่าง “ที่นี่บ้านอยู่แล้วรวยครับ” แสดงว่าเป็นคนมองโลกในแง่ดี ชีวิตค่อนข้างมีความสุข เป็นคนเปิดเผย
แต่ถ้ามีคนโทรฯมาแล้วพูดห้วนๆ ว่า “มีอะไร” แสดงว่าเป็นคนเย็นชา และใจร้อนมั่ก ๆ