วันเสาร์, พฤศจิกายน 28, 2552

ถ้าปล่อยให้เด็กเล็กดูทีวี..จะเป็นอย่างไร

TV Reduces Young Kids' Language Skills

โดย Jennifer Warner
WebMD Health News
Reviewed by Louise Chang, MD  June 3, 2009
ในบทความนี้เกล่าวถึงงานวิจัยหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา
ที่ทำขึ้นเพื่อหาคำตอบว่า
การที่ผู้ใหญ่ปล่อยให้ทารกหรือเด็กเล็กดูทีวีจะมีผลต่อเด็กอย่างไร
 
Baby
 
งานวิจัยที่ถูกอ้างถึง
เป็นของทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Washington
มีหัวหน้าคือ DR. Dimitri A. Christakis, MD, MPH
ได้ทำวิจัยในเด็กจำนวน 329 ราย
อายุตั้งแต่ 2 เดือนถึง 2 ปี ติดตามเป็นเวลา 2 ปี 
วิธีการให้ได้มาซึ่งคำตอบคือ
ทีมงานจะติดอุปกรณ์ดิจิตัลที่สามารถบันทึกเสียงทุกเสียงที่ได้รับไว้ที่ตัวเด็ก
และสุ่มบันทึกเสียงที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาต่างๆระหว่างวัน
แล้วนำข้อมูลเสียงมาศึกษาเปรียบเทียบกัน
(ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเสียงที่เด็กได้ยินจากสิ่งแวดล้อมหรือเสียงที่เด็กเปล่งออกมาเอง
ณ.ช่วงเวลาที่ทำการสุ่มก็จะถูกบันทึกไว้หมด)       
เมื่อนำเสียงที่ได้มาวิเคราะห์พบว่า
พ่อแม่ที่ดูทีวีเพิ่มขึ้นทุกๆหนึ่งชั่วโมงจะพูดกับลูกน้อยลงไป 770 คำ (7%)
มาดูทางฝ่ายลูกบ้าง
พบว่าลูกพูดกับพ่อแม่น้อยลงเมื่อ(ลูก)ใช้เวลาอยู่หน้าจอทีวีทุกชั่วโมงที่เพิ่มขึ้น

สรุปง่ายๆ
ยิ่งพ่อ/แม่/ลูกดูทีวีมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีเวลาพูดกันน้อยลงเท่านั้น
โดยให้เหตุผลของการพูดคุยกันน้อยลงไว้ 2 ประการคือ
1. ผู้ใหญ่ปล่อยทิ้งให้เด็กดูทีวีโดยลำพัง หรือถึงมีผู้ใหญ่อยู่ด้วย
ก็มัวแต่ง่วนอยู่กับกิจธุระของตัวเองจนไม่ได้สนใจที่จะพูดคุยกับเด็ก
2. ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ต่างพากันสนใจดูทีวีจนลืมสนใจกันและกัน
เด็กก็จะดูว่าปิศาจจะถูกพระเอกตามมาฆ่าเมื่อไหร่
แม่/ป้า/ยายรอว่าเมื่อไหร่พระเอกจะมาคุกเข่าง้อคืนดีนางเอกที่กำลังตั้งครรภ์แก่ซะที
ส่วนพ่อก็มัวแต่ลุ้นว่าทีมฟุตบอลทีมไหนจะชนะ
อ้อ ลืมบอกไปว่า ทุกคนที่หมอพูดถึงต่างนั่งดูทีวีกันคนละเรื่องและคนละเครื่อง

The American Academy of Pediatrics
(สมาคมกุมารแพทย์ของประเทศสหรัฐอเมริกา)
และสมาคมกุมารแพทย์ของประเทศไทย มีคำแนะนำว่า
ไม่ควรให้เด็กอายุน้อยกว่าหรือเท่ากับ 2 ขวบดูรายการทีวี
รวมถึง วิดีโอ ดีวีดี สื่อมีเดียต่างๆ
เพราะช่วง 2 ขวบปีแรกของเด็กเป็นช่วงเวลาสำคัญ (Critical period)
ของพัฒนาการด้านภาษาซึ่งจะเกิดขึ้นได้ดีก็เมื่อเด็กได้รับการใส่ใจ
พูดคุย อ่านหนังสือ เล่านิทานให้เด็ก
(ไม่ใช่ปล่อยให้เด็กเล็กเรียนรู้ภาษาเองจากรายการทีวี)

บทความนี้ก็เป็นอีกบทความหนึ่งที่ตอกย้ำผลเสียของการให้ทารกและเด็กวัยก่อนเข้าอนุบาลดูทีวีว่าทำให้พัฒนาการด้านภาษาของเด็กลดลงกว่าที่ควรจะเป็น
จากการที่ทั้งพ่อแม่และเด็กไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน
เพราะมัวแต่สนใจทีวีจนลืมใส่ใจคนรอบข้าง

Mother and child baking
รูปประกอบจาก WWW.oprah.com
ดังนั้นถึงเวลาปิดทีวีแล้วหาอะไรสนุกๆทำกับลูกได้แล้วค่ะ

จะทำอย่างไรเมื่อลูกถูกรังแก (ตอนจบ)

8. ระดมสมอง หาคำตอบให้กับปัญหา

เตรียมกระดาษเปล่า ดินสอหรือปากกามาจดทุกคำพูด
ทุกความคิดที่เกิดขึ้นของลูกและของคุณ


โดยมีเคล็ดลับอยู่ว่า.......................

  • ไม่วิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่ลูกคิด
   ถึงแม้ว่ามันอาจจะดูไม่เข้าท่านักในความเห็นของคุณ

  • สิ่งที่คุณควรทำก็คือ จดความคิดทุกอย่างลงไปและอาจจะพูดกระตุ้นให้ลูกคิดหาทางออกอื่นๆเพิ่มให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

(กรุณาควบคุมอารมณ์ของคุณ อย่าพูดเร่งเร้าหรือมีอารมณ์ร่วมในเหตุการณ์มากนัก เพราะอาจจะทำให้ลูกอึดอัดหรือรู้สึกถูกกดดันจนคิดไม่ออก)

 ถ้าลูกคิดไม่ออกแล้ว ก็ถึงตาคุณคิดบ้าง จดความคิดคุณลงในกระดาษแผ่นเดียวกันนั่นแหละ ทีนี้คุณก็ใส่ความคิดที่คุณเห็นว่าเหมาะสมลงไปเต็มที่เลย (หมอหวังว่ามันคงเป็นความคิดที่เข้าท่ากว่าของลูกนะ)
 อย่างเช่น
.....ทำเฉยไม่สนใจเวลาถูกล้อหรือถูกแหย่โดยทำท่าอ้าปากหาวแล้วเดินหนีไปจากกลุ่มเด็กเกเรแบบสบายๆ
...ไม่อยู่คนเดียวในช่วงพัก ควรมีคู่หูหรือเพื่อนสนิทที่ไว้ใจไปไหนมาไหนด้วย อย่างน้อยถ้าโดนแกล้งก็ยังมีเพื่อนช่วยกันบ้าง
....แสดงออกอย่างมั่นใจและสุภาพกับเด็กที่มารังแกโดยอาจจะมองหน้าสบตาคนที่มารังแกและพูดว่า
"เราไม่ชอบให้นายทำอย่างนี้กับเรา นายหยุดทำได้แล้ว ถ้านายไม่ยอมหยุดล้อเราซะที เราก็มีสิทธ์ที่จะจัดการให้นายหยุด  เพราะนายเริ่มก่อน"
...พยายามคบหาเพื่อนฝูงให้มากเข้าไว้ อย่าอยู่โดดเดี่ยว
โอกาสเป็นเป้าโจมตึจะยากขึ้นถ้าเราเป็นคนที่เพื่อนๆรัก........
เด็กเกเรจะถูกเพื่อนคนอื่นๆไม่ชอบ ไม่พอใจที่มารังแกเรา
ก็ต้องมีคนเข้าข้างเราบ้างหล่ะ........................
...พยายามอยู่ใกล้คุณครูเข้าไว้ เผื่อโดนแกล้ง
อย่างน้อยก็มีครูเห็นเหตุการณ์อยู่  ช่วยไม่ช่วยค่อยว่ากันอีกที 
...ไม่ไปล้อเลียน ทำตัวเป็นหัวโจกรังแกคนอื่นซะเอง........

 
9. เลือกความคิดที่เข้าท่ามาลองทำ

 ลองพูดคุยกับลูกว่าความคิดไหนที่เข้าท่าและพอทำได้จริง ตัดข้อที่ทำไม่ได้ออกไปซะ...ลองเล่นบทบาทสมมุติกับลูก โดยคุณเล่นเป็นเด็กเกเร ส่วนลูกเล่นเป็นตัวเอง                                                                                                    อาจจะเริ่มด้วย.............................................................. 
"เอาล่ะ ลองสมมุติกันดูซิ พ่อเป็น......(เติมชื่อตัวร้ายกันเอาเอง)  ถ้าพ่อเดินเข้ามาหาพร้อมกับตบหัวลูก แล้วก็บอกว่า

"เป็นไง...ไอ้ลูกแหง่ ร้องไห้ไปฟ้องแม่หรือยังที่โดนอัดเมื่อวานเนี๊ย"...
   
 เจอเข้าแบบนี้แล้วลูกจะทำยังไง ลองดูซิ ทำอย่างที่เราคิดกันเมื่อกี้ดีมั๊ย"...

 คุณควรให้กำลังใจลูกในระหว่างที่ลูกกำลังฝึกซ้อมบทบาทการโต้ตอบ
  • เปิดโอกาสให้ลูกเป็นตัวของตัวเอง
  • คุณควรพูดชมเชยถ้าลูกทำได้พอเข้าท่าเข้าทาง
(อย่าตั้งมาตรฐานไว้สูงตั้งแต่ตอนแรก ไม่มีใครเก่งตั้งแต่เกิด
คุณเองก็เช่นเดียวกัน ลูกยังต้องการโอกาสในการฝึกฝนอีกมาก)

คุณอาจให้ความเห็นในสิ่งที่คุณคิดว่าลูกควรแก้ไขได้  แต่อย่าตำหนิ      ล้อเลียนลูกซะเอง เพราะนั่นอาจทำให้ลูกรู้สึกท้อใจและไม่กล้าแสดงออก
ฝึกฝนการแสดงบทบาทสมมุติจนลูกมั่นใจ...


10.ลองสนามจริง

ช่วง1-2 สัปดาห์แรก ควรจะถามไถ่ลูกทุกวันว่าเหตุการณ์ที่โรงเรียนเป็นอย่างไรบ้าง
ลูกโดนล้อหรือโดนรังแกอีกมั๊ย (ถามลูกแบบสบายๆ อย่าใช้น้ำเสียงคาดคั้น)
ลูกทำตามแผนที่ช่วยกันวางไว้ได้หรือไม่
ถ้าพอทำได้ตามแผน ก็ชมเชย ให้กำลังใจลูกให้ทำต่อไป
ถ้ามันยังไม่ work ก็เอามานั่งคุยกัน ลองเล่นบทบาทสมมุติว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ลูกพลาดตรงไหน แล้วก็ช่วยกันคิดหาทางอื่น

 
"ที่สำคัญคุณต้องแสดงให้ลูกรู้ว่าคุณอยู๋ทีมเดียวกับลูกเสมอ"
"และคุณภูมิใจในตัวลูกที่ได้พยายามถึงแม้ว่ามันยังไม่สำเร็จ "


11. ประสานกับทางโรงเรียน ถ้าปัญหาทุกอย่างมันไม่ดีขึ้น


อย่างน้อยก็ให้คุณครูได้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
(แต่ถ้าการแกล้ง รังแกกันนั้นรุนแรงมาก เช่น ถึงกับเลือดตกยางออก มีการทำร้ายร่างกาย
 ทำลายข้าวของเสียหาย ทางโรงเรียนควรจะมีส่วนรับรู้และร่วมมือกันแก้ปัญหาตั้งแต่ต้น)

พูดคุยปัญหาก้บคุณครูประจำชั้นและคุณครูผู้เกี่ยวข้องให้ช่วยกันสอดส่องดูแล
ไม่ให้เกิดการแกล้ง รังแกกันอย่างรุนแรงในโรงเรียน...

โรงเรียนควรเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก
ทั้งทางร่างกาย อารมณ์ สังคมและจิตใจ
นอกเหนือจากเป็นที่ที่ให้วิชาความรู้


หน้าที่ของพ่อแม่คือช่วยลูกคิด แล้วให้ลูกพยายามจัดการปัญหาเอง..
อย่าเพิ่งยื่นมือเข้าไปจัดการตั้งแต่แรก
เพราะนั่นคือการปิดโอกาสการเรียนรู้ชึวิตของลูก
                                                    
                                                   โปรดอย่าลืมว่า
พ่อแม่ไม่ได้อยู่คำฟ้า

ขอบคุณบทความดีๆ พญ.ดวงรัตน์ วังเกล็ดแก้ว

เด็กวัยเรียนกับการดูโทรทัศน์

ปัจจุบันกือบทุกครอบครัวมีโทรทัศน์เป็นแหล่งให้ความบันเทิง
และสาระข่าวสารต่างๆ เรียกว่าโทรทัศน์เป็นเพื่อนแก้เหงาก็คงได้
เราใช้เวลาอยู่หน้าจอกันมาก รับสิ่งต่างๆจากโทรทัศน์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ข้อมูลที่ได้ผ่านเข้าสมองมามีผลต่อความคิด อารมณ์ ความรู้สึก และการกระทำไม่มากก็น้อย ถูกหลอมความคิด ความเชื่อและค่านิยมในการใช้ชีวิตจากเนื้อหารายการโทรทัศน์ที่ดูอยู่ทีละน้อยโดยไม่รู้ตัว

มีการศึกษาวิจัยกันมากถึงผลกระทบเชิงลบต่อเด็กจากการดูโทรทัศน์โดยเฉพาะในด้านอารมณ์ จิตใจและพฤติกรรมต่างๆ
เพราะเป็นที่รู้กันว่าเด็กเรียนรู้เร็ว
แต่ระบบคัดกรองข้อมูลในสมองยังทำงานไม่เต็มที่
แยกแยะไม่ได้ว่าอะไรดี/ไม่ดี อะไรควรเลียนแบบ/ไม่ควรเลียนแบบ

นักวิชาการด้านเด็กเกรงว่า
ถ้าเด็กใช้เวลาอยู่หน้าจอโทรทัศน์เป็นเวลานานอย่างสม่ำเสมอโดยลำพัง  ความคิด จิตใจและบุคลิกภาพของเด็กจะเป็นอย่างไร 
(ถ้าเป็นผู้ใหญ่แล้วถือว่ามีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลทุกอย่าง
ส่วนจะรับไว้ในแง่มุมไหน แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล )

Children watching TV
Photo: © 2009 Jupiterimages Corporation

ที่น่าเป็นห่วงคือเนื้อหารายการโทรทัศน์ในบ้านเรา
ที่มีคุณภาพเหมาะสมกับเด็กช่วยส่งเสริมและกระตุ้นการเรียนรู้
รวมถึงปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมที่ดี 
วิธีคิดวิเคราะห์แก้ปัญหาที่มีเหตุมีผลยังมีอยู่น้อย
เมื่อเทียบกับรายการที่เน้นแต่สนุกสนานเฮฮา ตลกขำขัน ไร้สาระ
หรือไม่ก็รายการละครส่วนใหญ่ที่มีเนื้อหาซ้ำซากอยู่กับแนวคิดเดิมในการดำเนินเรื่อง ดูละครไทยทุกวันนี้ก็แปลกใจ (ในทำนองเป็นกังวลมากกว่าชื่นชมยินดี) เพราะนึกไปสมัยเป็นเด็กประถมยังจำเนื้อหาของละครดังที่เคยดูเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ทำไมปัจจุบันแนวคิดและโครงเรื่องของละครยุคนี้ยังเป็นแบบเดิม 
รู้สึกเศร้าใจที่บรรดาตัวละครสาวๆยังวางแผนหาวิธีจับพระเอกมาแต่งงานกับพวกเธอเช่นเดียวกับสาวๆในละครยุคก่อน แทนที่ผู้จัดจะปรับเปลี่ยนเนื้อหาให้ทันสมัยและเป็นจริงเป็นจังขึ้น อย่างเช่น ตัวละครหลักมีความตั้งใจเล่าเรียนจนสำเร็จร่วมกับฝึกฝนทักษะที่ดีบางอย่างที่เหมาะสมในการดำเนินชีวิต
ต้องมีการทำงานเลี้ยงชีพอย่างมนุษย์ที่มีเกียรติและมีความเคารพตัวเองพึงกระทำ เพื่อเป็นตัวอย่างแก่คนดูในแง่คุณค่าการสร้างตัวโดยใช้ความสามารถและความพยายามของตัวเอง ไม่ใช้เล่ห์กลหรือทางลัดใดๆมาช่วยให้สำเร็จ
ค่านิยมเรื่องการพึ่งพาตนเอง
บวกกับความมานะอดทนในการทำงานที่สุจริต
เป็นสิ่งที่ควรปลูกฝังให้แน่น
แก่มนุษย์ทุกคนทุกเพศทุกวัยทุกเชื้อชาติ
ถ้าเราตั้งอยู่บนความคิดที่ว่ามนุษย์ทุกคนควรมีโอกาสในชีวิตเท่าเทียมกัน(หรือถ้าต่างกันก็ไม่มากเกินไป ดั่งฟ้ากับเหวอย่างในปัจจุบัน)
และทุกคนสมควรได้รับผลของความสำเร็จไม่มากก็น้อย
จากหยาดเหงื่อแรงงานสุจริตที่ตนกระทำ

มีคำตอบให้กับตัวเองหรือยังว่าเราควรช่วยลูกหลานเรา
ในการเลือกดูรายการโทรทัศน์หรือไม่
สรุปว่า
ประโยชน์หรือโทษจากการดูโทรทัศน์นั้นขึ้นอยู่กับหลากหลายปัจจัย
เช่น เนื้อหารายการ, คุณพ่อคุณแม่มีเวลานั่งดูรายการโทรทัศน์ร่วมกันกับลูกเพื่อที่จะคอยชี้แนะ อธิบาย แสดงความเห็นที่มีเหตุมีผลเวลาที่มีภาพหรือเนื้อหาไม่เหมาะสม, เวลาที่ใช้ในการดู
รวมถึงตัวเด็กเองรู้จักจัดสรรเวลาเพื่อใช้ในการทำสิ่งอื่นที่สำคัญเช่น การทำการบ้าน การทบทวนบทเรียน การเล่น/การออกกำลังกาย การช่วยทำงานบ้านหรือไม่ อย่างไร



คุณพ่อคุณแม่มีหน้าที่สำคัญในการปลูกฝัง
ลักษณะนิสัยที่ดีในการดูโทรทัศน์ของลูกParent and child watching TV
Photo: © 2009 Jupiterimages Corporation
 

โดยมีหลักง่ายๆในการช่วยให้ลูกดูโทรทัศน์ได้อย่างเหมาะสมดังนี้
      1.      ร่วมกันกำหนดวันและเวลาที่ใช้ในการดูโทรทัศน์ในแต่ละสัปดาห์ให้แน่นอน โดยในเด็กวัยเรียนควรใช้เวลาในการดูโทรทัศน์ไม่เกินหนึ่งชั่วโมงต่อวัน
      2.      บอกให้ลูกรู้ว่าต่อจากนี้ไปลูกจะดูโทรทัศน์ได้ตามวันและเวลาที่กำหนดเท่านั้น
3.      ให้ลูกเลือกรายการที่ลูกต้องการดูล่วงหน้าและร่วมกันพูดคุยกับลูกว่ารายการไหนควรดู ไม่ควรดู รายการไหนที่ดีมีประโยชน์ หรือการ์ตูนเรื่องไหนที่มีการใช้ความรุนแรง  มีเนื้อหา คำพูดที่ไม่เหมาะสม
4.      อธิบายกติกาการดูโทรทัศน์ตามเงื่อนไขที่กำหนด เช่น ให้ดูแต่รายการที่เลือกไว้แล้วเท่านั้น ต้องทำการบ้านให้เสร็จก่อนจึงจะดูโทรทัศน์ได้ ห้ามทะเลาะกับพี่น้องระหว่างนั่งดู ห้ามเปิดโทรทัศน์นอกเหนือจากเวลาที่กำหนด มิฉะนั้นจะต้องโดนตัดสิทธิ์การดูตลอดทั้งสัปดาห์จากการฝ่าฝืนกติกา
5.      ยืดหยุ่นกติกาได้บ้าง เช่น ถ้ามีรายการที่ดี คุณอาจจะเพิ่มเวลาพิเศษให้ลูกดูได้เป็นครั้งๆตามความเหมาะสมและวิจารณญาณของคุณ
6.      ถ้าลูกไม่ทำตามกติกาที่ตั้งไว้ ให้ทำโทษโดยการงดดูโทรทัศน์ในวันนั้น ให้ทำเฉยเมื่อเด็กแสดงอาการต่อต้านหรือต่อรอง หรือถ้าเด็กยังคงดื้อดึง ต่อต้าน ให้นำโทรทัศน์ไปเก็บในที่ที่เด็กเข้าถึงไม่ได้
7.      พูดชมเชยหรือให้รางวัลเล็กๆน้อยๆถ้าลูกทำได้ตามที่ตกลงกันไว้ เช่น อนุญาตให้ดูโทรทัศน์รายการดีๆได้เพิ่มขึ้นช่วงเสาร์/อาทิตย์  พาไปเที่ยวในที่ที่ลูกชอบ เช่น เขาดิน สวนรถไฟขี่จักรยานเล่น พิพิธภัณฑ์ดีๆใกล้บ้าน หรือทำอาหารที่ลูกชอบให้ลูกรับประทาน
8.      สนับสนุน และส่งเสริมให้เด็กทำกิจกรรมอื่นๆนอกเหนือจากการดูโทรทัศน์ เช่น การเล่นดนตรี การเล่นกีฬา การช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน การช่วยสอนการบ้านน้อง การเป็นอาสาสมัครบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคม
9.      เด็กไม่ควรมีโทรทัศน์ในห้องส่วนตัวเพราะจะทำให้ดูแลไม่ทั่วถึง

สำคัญที่สุดคุณพ่อคุณแม่ควรเป็น
ตัวอย่างที่ดีของการดูโทรทัศน์ให้กับลูก
คุณไม่ควรติดดูโทรทัศน์แล้วบอกลูกให้ไม่ดู

ความจริงก็คือเด็กจะเลียนแบบการกระทำของพ่อแม่โดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว

คุณพ่อคุณแม่สมัยใหม่
จึงควรรู้เท่าทันประโยชน์และโทษของการดูโทรทัศน์….
จงฉลาดในการเลือกรับแต่ประโยชน์
ละคอยกำกับดูแลไม่ให้ลูกได้รับโทษจากโทรทัศน์นะคะ
ด้วยความปรารถนาดีต่อทุกครอบครัว
ขอบคุณบทความดีจากแพทย์หญิงดวงรัตน์ วังเกล็ดแก้ว
และ www.momypedia.com




วันศุกร์, พฤศจิกายน 27, 2552

คัมภีร์ปราบความเครียด

มาหาต้นตอความเครียดและปราบให้อยู่หมัดกันดีกว่า



มีกี่เรื่องที่ทำให้ดีกรีความสุขในชีวิตของคุณลดลง... จนทำให้หายใจถี่ เลือดขึ้นหน้า หงุดหงิด กดดัน โมโห ผิดหวัง นิ่งเงียบ ไม่อยากพูดกับใคร หรือพาลใส่ทุกอย่างที่กว้างหน้า ฯลฯ สัญญาณที่ว่านี้กำลังทำร้ายทั้งสุขภาพและบุคลิกภาพ ทั้งของตัวคุณเองและคนรอบข้าง มารีบหาให้เจอว่าต้นตอความเครียดมาจากไหนและปราบความเครียดให้อยู่หมัดกันดีกว่า

- รู้ว่าปัจจัยใดควบคุมได้ แยกแยะให้ออกว่าเรื่องอะไรที่เรา
  สามารถควบคุมเองได้ เช่น ถ้าไม่อยากหงุดหงิด อารมณ์
  เสีย เพราะรถติดกลัวไปทำงานไม่ทัน ก็ควรเผื่อเวลาออก
  จากบ้านให้เร็วขึ้น แทนการนอนตื่นสายเพราะดูทีวี หรือไป
  ปาร์ตี้กลับมาดึก

- ฝึกแก้ปัญหา รู้จักบริหารเวลา เสียงวิจารณ์จากคนใกล้ชิด
  เคยตักเตือนหรือกระตุ้นให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเองบ้างไหม
  เพราะการเปลี่ยนแปลงบางอย่างอาจจะช่วยลดข้อผิด
  พลาดซ้ำๆ ได้ อีกทั้งการจัดการปัญหาแต่เนิ่นๆ ทำให้เรา
                                                       รู้จักบริหารเวลาด้วย ดีกว่าปล่อยๆ ต่างให้สายเกินไปจน
                                                       ย้อนกลับมาทำให้เราเครียด

- มีวินัยและให้อภัยตนเอง การมีระเบียบวินัยเป็นพลังภายในที่กำหนดให้เราทำทุกสิ่งทุกอย่างเป็นขั้น
  เป็นตอน และเมื่อตั้งใจทำอย่างจริงจังแล้ว ยังมีขั้นตอนผิดพลาดไปบ้าง ก็อย่ารีรอที่จะแก้ไข และให้
  ภัยตนเอง

- หัดเผื่อใจไว้บ้าง ถ้ารู้สึกว่าเป้าหมายตรงหน้าชักจะเบี่ยงเบนไปจากความตั้งใจเสียแล้ว การทำใจให้
  เป็นกลาง ยอมรับความเปลี่ยนแปลง และมีสติ จะช่วยลดความผิดหวังได้ส่วนหนึ่ง

- หาเวลาพักเบรก เซตตารางให้ตัวเองเป็นประจำระหว่างทำงาน และควรหาเวลาสักชั่วขณะลุกขึ้นยืด
  เส้นยืดสาย มองออกไปนอกหน้าต่างหรือไปเดินเล่นใกล้ๆ บ้าง เพื่อช่วยเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าให้
  ทั้งร่างกาย อารมณ์ และจิตใจ

- พึงปล่อยวาง ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างไม่ควรเก็บมาคิดให้จุกจิกกวนใจ เพราะจะมีผลเสียทั้งต่อ
  สุขภาพกายและใจ ทั้งยังอาจทำให้เรามองข้ามความสำคัญของปัญหาอื่นไปแทน

- มองโลกในแง่บวก หากคอยจ้องแต่จับผิดกันก็จะทำให้จิตใจเป็นทุกข์ และการมองทุกอย่างในแง่ลบ
  นั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้เครียดลึกๆ อยู่ในใจ และเป็นผลทำให้คุณไม่มีความสุข ควรจะเลือกมองแต่ใน
  ด้านดีๆ ของกันและกัน และคิดหาทางออกด้วยวิธีการสร้างสรรค์จะดีกว่า

- ออกกำลังกาย ความเครียดเปรียบไปก็เหมือนน้ำที่ร้อนระอุก่อนเดือด สามารถกำจัดทิ้งได้ด้วยการ
  ออกกำลังกายอย่างน้อยสัก 20 นาที หากออกแรงมากขึ้นก็จะลดทั้งความเครียดและเพิ่มความแจ่ม
  ใสได้ด้วย จึงไม่แปลกว่าทำไมการออกกำลังกายทำให้เรารับมือกับความกดดันต่างๆ ได้ดี

- ลด ละ เลิก สารก่อความเครียด รู้หรือไม่ว่าทั้งคาเฟอีน นิโคติน และแอลกอฮอล์ ล้วนเป็นสาเหตุ
  ของความเครียดด้วยกันทั้งนั้น หาทางเมินจากสารก่อความเครียดเหล่านี้บ้างก็จะเป็นการดี

- หัดผ่อนคลายเสียบ้าง ถ้าไม่ไปนวด ก็ไปฝึกสมาธิ ฝึกการหายใจอย่างถูกต้อง หรือวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะ
  เรียกพลังกลับคืนมาก็คือการหัวเราะนั่นเอง เป็นวิธีคลายความเครียดที่ง่าย ปลอดภัย และได้ผลจริงๆ
  ไม่เชื่อลองดูสิ

- ให้รางวัลกับชีวิต การให้ของขวัญกับตัวเองเมื่อทำสิ่งใดสำเร็จตามเป้าหมายในบางครั้ง ก็ช่วยทำให้
   เกิดแรงบันดาลใจ และกระตุ้นความกระตือรือร้นในการทำงานครั้งต่อไป

- หาตัวช่วย ถ้าพยายามหลายวิธีแล้วยังไม่ได้ผล ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะหันหน้าไปพบผู้เชี่ยวชาญที่
  เชื่อถือได้อย่างจิตแพทย์ หรือลองคุยกับคนที่เราไว้ใจได้ เพราะบางครั้งแค่มีคนรับฟังก็สบายใจแล้ว
  ทุกสิ่งทุกอย่างถูกออกแบบมาให้มีสองด้านเสมอ พยายามมองหาด้านดีเข้าไว้ และเราจะเป็นสุขได้
  ไม่ยาก

จาก: เว็บไซต์

วันศุกร์, พฤศจิกายน 20, 2552

ส่งแฟกซ์ผ่านคอมพิวเตอร์

คงสงสัยว่าทำไมถึงแนะนำเรื่องนี้ ในเมื่อเดี่ยวนี้ใครๆ เขาก็ส่งเมล์กันแล้ว?
ถึงแม้ว่าเดี๋ยวนี้อีเมล์จะกลายเป็นระบบสื่อสารที่รวดเร็วแค่อึดใจเดียวที่ได้รับความนิยมมากที่สุด แต่ในหลายครั้งFax ซึ่งเป็นระบบการส่งข้อมูลแบบเดิมๆ ก็ยังมีความจำเป็นอยู่ ตัวอย่างเช่นเพื่อนๆ จะต้องส่งใบเสนอราคาไปให้กับผู้รับที่ไม่มีอีเมล์แต่มีเครื่องแฟ็กซ์ การที่ต้องเสียเวลาไปพิมพ์เอกสารลงกระดาษ แล้วเอากระดาษนั้นไปใส่เครื่องแฟ็กซ์เพื่อส่ง นอกจากจะเสียเวลาแล้ว ยังต้องเปลืองหมึกเปลืองกระดาษอีกด้วย แถมบางทีที่บ้านก็ไม่มีเครื่องแฟ็กซ์วันนี้นายเกาเหลาเลยขอแนะนำเทคนิคการส่งแฟ็กซ์แบบไฮเทคเสียหน่อย โดยเราจะต้องมีคอมพิวเตอร์ที่มีโมเด็ม และต้องมีหมายเลขโทรศัพท์ (พร้อมสายต่อ)
ส่วนโปรแกรมจากชุดทดลองใช้สามารถโหลดจากที่นี่เลย
http://comtodayradio.blogspot.com/
รายละเอียดการใช้งานหาอ่านได้ในคอมพิวเตอร์ทูเดย์ฉบับปักษ์หลังธันวาคมครับ
*** คอมพิวเตอร์.ทูเดย์ ฉบับปักษ์หลังธันวาคม มี 100 Hack Notebook Tips และที่สำคัญมากคือ เล่มนี้เป็นเล่มที่ 12 เล่มปิดซีรีย์ 1000 Tips 2 ใครที่สะสมมาแล้วทุกเล่ม อย่าลืมแปะโลโก้ทั้งหมดให้ครบแล้วรีบส่งมาลุ้นรับ Notebook จาก MSI เย้!!!!! ใครจะเป็นผู้โชคดีเนอะ

ลมหายใจกับคนพิเศษ

ทุกคนก็คงจะมีคนที่พิเศษที่สุดในชีวิต คนที่สำคัญไม่แพ้ลมหายใจ
หรืออาจจะสำคัญน้อยกว่าในบางคน
แค่ขอให้รู้ไว ้เมื่อวันสุดท้ายมาถึง วันที่คนๆ นั้น ต้องจากคุณไป
คุณจะไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้ อย่างน้อยๆ ก่อนที่เวลานั้นมาถึง 
อยากจะให้คุณดูแลคนๆ นั้นให้ดี บางสิ่งที่หายไป อาจได้คืนมาราวปาฏิหารย์
แต่ถ้าหากคุณทิ้งขว้างไป โอกาสจะได้คืนมาคงยาก 
ไม่แน่นะ  คนที่พิเศษสุดคนนั้นของคุณ
เค้าอาจจจะมีคุณเป็นคนที่พิเศษที่สุดก็ได้

ความรักกับความผูกพันธ์

มีหลายคนที่สับสนกับคำสองคำนี้

ความรัก กับ ความผูกพันธ์ มันคืออะไรนะ ต่างกันอย่างไร

ความรัก กับ ความผูกพันธ์ เหมือนกันมั้ยนะ

ถ้าไม่มีความผูกพันธ์ก็เกิดความรักได้นี่นา

แต่ถ้าเกิดความรักแล้วไม่มีความผูกพันธ์ล่ะ

จะเป็นไปได้รึเปล่านะ

สำหรับเรา ความรักกับความผูกพันธ์ไม่เหมือนกัน

มันแตกต่างกัน

ความรักเกิดขึ้นได้เสมอ ทุกที่ ทุกเวลา

ไม่ว่าเมื่อไหร่ ที่ไหน กับใครก็ตาม

บางครั้งเกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว และไม่สามารถตอบได้

ความรักคือการให้ การทุ่มเท การให้ความรู้สึกดีๆ

ให้สิ่งที่เกินพอสำหรับใครซักคนที่เรารัก

การทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้คนที่เรารักมีความสุข

จนเหมือนกับว่าคนๆ นั้นเป็นคนที่พิเศษกว่าคนอื่น

(ซึ่งจริงๆ แล้วก็ใช่)

ความรักจึงเป็นการทำเพื่อคนๆ หนึ่ง ซึ่งไม่ว่าเมื่อไหร่ เวลาไหน

สำหรับคนที่เรารัก ความคิดถึง ความเป็นห่วงจะเกิดขึ้นตลอดเวลา

เราจะห่วงว่าเขาไปที่ไหน ไปกับใคร

ความรัก เกิดขึ้นได้แม้เพียงพบกันแค่นาที

แค่เห็นหน้าเพียงครั้งแรก ครั้งเดียว

ความรักไม่จำเป็นต้องใช้เวลา

แต่การจะทำให้ความรักคงอยู่ หรือเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่

นั่นต่างหาก

เป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลา และนำความผูกพันธ์ใส่ลงไป

เพราะความผูกพันธ์เป็นสิ่งที่ทำให้คนสองคนได้รู้จักกันมากขึ้น

เป็นช่วงเวลาที่ทำให้คนสองคนปรับตัวเข้าหากัน

ความรักจะคงอยู่ได้ หากความผูกพันธ์เกิดขึ้น

ความผูกพันธ์นั้นต่างกับความรัก

เพราะการผูกพันธ์กับใครซักคน ไม่จำเป็นที่เราจะต้องรัก

สำหรับความผูกพันธ์ มันคือความรู้สึกคิดถึง

ช่วงเวลาหนึ่งที่เคยเกิดขึ้น การที่เราคิดถึงคนๆ หนึ่ง

เวลาที่เราจากกัน เวลาที่ไม่ได้พบ ไม่ได้พูดคุย นั่นไม่ใช่ความรัก

เราไม่ได้ทำสิ่งใดเพื่อเค้า

เราไม่ได้ต้องการให้สิ่งใดกับเค้า

ไม่ได้ห่วงว่าเขาจะไปกับใคร เมื่อไหร่ หรือที่ไหน

แต่เราเพียงแค่คิดถึง ความทรงจำที่ดี เวลาที่เคยอยู่ด้วยกัน

ดังนั้น ความผูกพันธ์จึงเป็นเพียงความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการใช้เวลา

มันเป็นความทรงจำ เป็นความรู้สึก และไม่ใช่ความรัก

เพราะเกิดได้กับทุกคน กับเพื่อน พี่ น้อง

หรืออาจเป็นใครก็ตามที่ครั้งหนึ่ง เคยใช้เวลาอยู่ร่วมกัน

มันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความคิดถึง

และเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้เกิดความรักนั่นเอง

ทั้งความรักและความผูกพันธ์ เป็นสิ่งที่ควรมีอยู่ร่วมกัน

ถึงแม้ว่ามันจะแตกต่างกันก็ตาม สิ่งสำคัญมันอยู่ที่ว่า

เราจะแยกมันออกจากกันได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง

ว่าอันไหนคือความรัก

อันไหนคือความผูกพันธ์

เพราะจริงๆ แล้วมันแทบจะไม่ต่างกันเลย

เพราะทั้ง 2 สิ่งควรจะมีอยู่คู่กัน

ปัญหาของความรักกับความผูกพันธ์อยู่ตรงที่

บางคนไม่สามารถแยกได้ว่า

ความรัก กับ ความผูกพันธ์ ต่างกันตรงไหน

ความสับสน ความลังเล จะเกิดขึ้น

ถ้าหากวันนึง คุณรักใครซักคน และมีความผูกพันธ์กับใครอีกคน

คุณจะตอบตัวเองได้หรือเปล่าว่า

คุณจะเลือกใคร หากคุณคิดว่า

คนที่คุณผูกพันธ์คือคนที่คุณไม่สามารถลืมเค้าได้

และคนที่คุณรัก คุณก็ไม่สามารถเลิกรักเค้าได้เช่นกัน

จำไว้ว่า…

จงเลือกคนที่หัวใจของคุณต้องการ อย่าใช้คำว่าถูกหรือผิด

เพราะมันใช้กับความรักไม่ได้

แต่จงใช้หัวใจของคุณเอง

หากคุณต้องการค้นหาใครซักคนที่จะอยู่เคียงข้างคุณไปตลอดชีวิต

คุณค่าของเวลา

ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 10 ปีมีค่าขนาดไหน
ถามคู่แต่งงานที่เพิ่งหย่าร้างกัน
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 4 ปีมีค่าขนาดไหน
ถามนิสิตนักศึกษาที่เพิ่งรับปริญญาจากมหาวิทยาลัย
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 ปีมีค่าขนาดไหน ถามนักเรียนที่สอบไล่ตก
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 9 เดือนมีค่าขนาดไหน ถามแม่ที่เพิ่งคลอดลูก
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 เดือนมีค่าขนาดไหน
ถามมารดาที่คลอดบุตรยังไม่ครบกำหนด
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 อาทิตย์มีค่าขนาดไหน
ถามบรรณาธิการหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 ชั่วโมงมีค่าขนาดไหน ถามคนรักที่รอพบกัน
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 นาทีมีค่าขนาดไหน
ถามคนที่พลาดรถไฟ รถประจำทาง หรือเรือบิน
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 วินาทีมีค่าขนาดไหน
ถามคนที่รอดตายจากอุบัติเหตุอย่างหวุดหวิด
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลาเสี้ยวหนึ่งของวินาทีมีค่าขนาดไหน
ถามนักกีฬาโอลิมปิกที่ชนะเหรียญเงิน
ถ้าท่านอยากรู้ว่ามิตรภาพมีค่าขนาดไหน เสียเพื่อนสักคนหนึ่ง
เวลาไม่เคยรอใคร เมื่อมันผ่านไปแล้ว มันจะไม่กลับมาอีก
จงใช้เวลาของท่านทุกขณะอย่างดีที่สุด
ท่านจะรู้คุณค่าของเวลาเมื่อท่านแบ่งปันกับคนที่พิเศษสุดในชีวิตของท่าน

เวลาที่มีความทุกข์เศร้า คุณคิดแบ่งปันกับใคร

มีชายคนหนึ่ง รักผู้หญิงสองคนพร้อมๆ กันและไม่รู้ว่ารักใครมากกว่ากัน
มีคนสอนว่า เมื่อคุณมีเรื่องสุขใจใครกันเล่าเป็นคนแรก ที่คุณคิดจะบอก?
คนที่คุณคิดถึงก่อนคนแรก แท้จริงคือ คนที่คุณรักมากกว่า(หน่อย)
ไม่.. นี่ไม่ใช่วิธีเดียวที่จะพิสูจน์ความรัก
เวลาที่คุณมีเรื่องทุกข์ใจ ใครกันเล่าที่คุณ คิดถึงก่อน?
คนที่คุณคิดถึงก่อนนั่นแหละคือ คนที่คุณรักมากกว่า
หากคนที่คุณคิดถึงก่อนทั้งเวลาสุข และทุกข์คือ คนๆ เดียวกัน
นั่นคือสิ่งที่วิเศษสุด  แต่หากว่าเป็นคนละคนกัน แนะนำให้คุณเลือก
คนที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างคุณ เวลาคุณมีเรื่องทุกข์ร้อนใจ
ชีวิตคนเราทุกข์มากกว่าสุข เวลาคุณมีความสุข
มีคนมากมายที่พร้อมจะแบ่งปันความสุขกับคุณ
ไม่เพียงแต่เฉพาะแฟนสุดที่รัก แม้กระทั่งเวลามีความสุข
คุณยังสามารถอยู่ตัวคนเดียวได้
แต่ไม่ใช่จะทุกคนที่พร้อมจะแบ่งปันความทุกข์ของคุณ
คนที่คุณพร้อมแบ่งปันความทุกข์ด้วย
แท้จริงคือ คนที่คุณต้องการมากที่สุดและอยากอยู่ใกล้ชิดมากที่สุด
ในทางกลับกัน คนที่คิดถึงคุณเวลามีความสุข
และไปหาผู้อื่นเวลามีความทุกข์ เป็นคู่รักที่ไม่มั่นคงเอาเสียเลย
เพราะเขาคนนั้นไม่คิดจะให้คุณเป็นคู่รัก
ที่อยู่ร่วมทุกข์สุขด้วยตลอดชีวิต เราคงดีใจถ้าหากคนที่เรารัก
คิดถึงเราก่อนในเวลาที่เขามีความสุข
แต่ถ้าอยากอยู่ใกล้ชิดเราเวลาที่เขามีความทุกข์เศร้า
พร้อมให้เราเห็นตัวเขาในสภาพที่เขาอ่อนแอทุกข์ร้อน
เราเชื่อว่าเราต้องมีความสำคัญมากๆ ในสายตาของเขา
ในเวลาที่คุณมีความทุกข์เศร้า คุณคิดแบ่งปันกับใคร?

ความรัก กับ ความผูกพัน

มีหลายคนที่สับสนกับคำสองคำนี้

ความรัก กับ ความผูกพัน มันคืออะไรนะ ต่างกันอย่างไร
ความรัก กับ ความผูกพัน เหมือนกันมั้ยนะ
ถ้าไม่มีความผูกพันก็เกิดความรักได้นี่นา แต่ถ้าเกิดความรัก
แล้วไม่มีความผูกพันล่ะ จะเป็นไปได้รึเปล่านะ
มันแตกต่างกัน
ความรักเกิดขึ้นได้เสมอ ทุกที่ ทุกเวลา ไม่ว่าเมื่อไหร่ ที่ไหน กับใครก็ตาม
บางครั้งเกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว และไม่สามารถตอบได้
ความรักคือการให้ การทุ่มเท การให้ความรู้สึกดีๆ ให้สิ่งที่เกินพอ
สำหรับใครซักคนที่เรารัก การทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้คนที่เรารักมีความสุข
จนเหมือนกับว่าคนๆ นั้นเป็นคนที่พิเศษกว่าคนอื่น
ความรักจึงเป็นการทำเพื่อคนๆ หนึ่ง ซึ่งไม่ว่าเมื่อไหร่ เวลาไหน
สำหรับคนที่เรารัก ความคิดถึง ความเป็นห่วงจะเกิดขึ้นตลอดเวลา
เราจะห่วงว่าเขาไปที่ไหน ไปกับใคร ความรัก
เกิดขึ้นได้แม้เพียงพบกันแค่นาที แค่เห็นหน้าเพียงครั้งแรก ครั้งเดียว
ความรักไม่จำเป็นต้องใช้เวลา แต่การจะทำให้ความรักคงอยู่
หรือเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่
นั่นต่างหาก เป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลา และนำความผูกพันใส่ลงไป
เพราะความผูกพันเป็นสิ่งที่ทำให้คนสองคนได้รู้จักกันมากขึ้น
เป็นช่วงเวลาที่ทำให้คนสองคนปรับตัวเข้าหากัน
ความรักจะคงอยู่ได้ หากความผูกพันเกิดขึ้น
ความผูกพันนั้นต่างกับความรัก เพราะการผูกพันกับใครซักคน
ไม่จำเป็นที่เราจะต้องรัก
สำหรับความผูกพัน มันคือความรู้สึกคิดถึง
ช่วงเวลาหนึ่งที่เคยเกิดขึ้น การที่เราคิดถึงคนๆ
หนึ่งเวลาที่เราจากกัน ิ เวลาที่ไม่ได้พบ ไม่ได้พูดคุย นั่นไม่ใช่ความรัก
เราไม่ได้ทำสิ่งใดเพื่อเค้า
เราไม่ได้ต้องการให้สิ่งใดกับเค้า
ไม่ได้ห่วงว่าเขาจะไปกับใคร เมื่อไหร่ หรือที่ไหน
แต่เราเพียงแค่คิดถึง ความทรงจำที่ดี เวลาที่เคยอยู่ด้วยกัน
ดังนั้น ความผูกพันจึงเป็นเพียงความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการใช้เวลา
มันเป็นความทรงจำ เป็นความรู้สึก และไม่ใช่ความรัก
เพราะเกิดได้กับทุกคน กับเพื่อน พี่ น้อง หรืออาจเป็นใครก็ตามที่ครั้งหนึ่ง
เคยใช้เวลาอยู่ร่วมกัน
มันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความคิดถึง และเป็นส่วนหนึ่งของ
การทำให้เกิดความรักนั่นเอง
ทั้งความรักและความผูกพัน เป็นสิ่งที่ควรมีอยู่ร่วมกัน
ถึงแม้ว่ามันจะแตกต่างกันก็ตาม สิ่งสำคัญมันอยู่ที่ว่า
เราจะแยกมันออกจากกันได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง
ว่าอันไหนคือความรัก อันไหนคือความผูกพัน เพราะจริงๆ
แล้วมันแทบจะไม่ต่างกันเลย เพราะทั้ง 2 สิ่งควรจะมีอยู่คู่กัน
ปัญหาของความรักกับความผูกพันอยู่ตรงที่
บางคนไม่สามารถแยกได้ว่า ความรัก
กับความผูกพันต่างกันตรงไหน
ความสับสน ความลังเล จะเกิดขึ้น ถ้าหากวันนึง
คุณรักใครซักคน และมีความผูกพันกับใครอีกคน
คุณจะตอบตัวเองได้หรือเปล่าว่า
คุณจะเลือกใคร หากคุณคิดว่า
คนที่คุณผูกพันคือคนที่คุณไม่สามารถลืมเค้าได้
และคนที่คุณรัก คุณก็ไม่สามารถเลิกรักเค้าได้เช่นกัน
จำไว้ว่า… จงเลือกคนที่หัวใจของคุณต้องการ อย่าใช้คำว่าถูกหรือผิด
เพราะมันใช้กับความรักไม่ได้ แต่จงใช้หัวใจของคุณเอง
หากคุณต้องการค้นหาใครซักคนที่จะอยู่เคียงข้างคุณไปตลอดชีวิต

5 ความเชื่อผิด ๆ ในเรื่องงานที่ต้องกำจัดทิ้ง

  1. ความเชื่อผิด ๆ คุณต้องหาความสมดุลระหว่างชีวิตกับการทำงานให้ได้
          ความเป็นจริง หยุดพยายามทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เสียที
           ถ้าคุณพยายามให้เวลาแก่การทำงาน ครอบครัว และเรื่องส่วนตัวเท่า ๆ กัน คุณจะลงเอยด้วยการไม่ประสบความสำเร็จกับอะไรสักอย่าง ฉะนั้น มองชีวิตเป็นช่วง ๆ ไป เลือกสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ และเน้นไปที่สิ่งนั้น และการบอกปฏิเสธบางอย่าง ไม่ได้หมายความว่าจะต้องปฏิเสธมันไปตลอดชีวิต
          2. ความเชื่อผิด ๆ มีเพียงความที่มีอำนาจวาสนาเท่านั้นที่ควรค่าแก่การสร้างสานสัมพันธ์
          ความเป็นจริง สนิทสนมกับดาวรุ่งของพรุ่งนี้
          การสร้างสานความสัมพันธ์ที่ดีเป็นโปรเจ็กต์ระยะยาวแทนที่จะประจบแต่คนที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดีอยู่แล้วในวันนี้ มองหาคนที่มีความสามารถอย่างแท้จริง และมีแววจะก้าวหน้าขึ้น วิธีนี้จะทำให้คุณดูไม่เป็นคนขี้ประจบ และสร้างสัมพันธภาพที่จะส่งผลดีในระยะยาว
          3. ความเชื่อผิด ๆ คุณต้องรู้ว่าคุณอยากทำงานอะไรตั้งแต่แรก
          ความเป็นจริง ใช้ชีวิตและเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ
          การวางแผนเส้นทางการทำงานและยึดตามนั้นเป็นความคิดเก่าแก่ ในความเป็นจริงคนส่วนใหญ่อยู่ในสภาวะที่เปลี่ยนแปลงอยู่สมอ หาดูว่าเราอยากที่จะทำอะไรต่อไป คุณต้องเป็นสถาปนิกสร้างอาชีพการงานของคุณเอง ซึ่งหมายความถึงการลองผิดลองถูกและการคันหาตัวเอง
          4. ความเชื่อผิด ๆ คุณต้องเปลี่ยนงานบ่อย ๆ เพื่อที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสุดยอด
          ความเป็นจริง ตรึงเท้าของคุณให้ติดกับที่เอาไว้
          ทุกวันนี้บริษัทจำนวนมากเน้นการสร้างคนที่มีความสามารถในองค์กรของตัวเอง ซึ่งจะเข้าใจความเป็นไปในองค์กรอย่างลึกซึ้ง แต่ถ้าคุณเบื่อบทบาทของตัวเองลองหาความรับผิดชอบใหม่ ๆ เพื่อสร้างแรงจูงใจใหม่ ๆ แต่ถ้าลองแล้วและรู้สึกว่าคุณยังคงไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ มันอาจถึงเวลาที่จะจากไปก็ได้
          5. ความเชื่อผิด ๆ คุณต้องแสดงออกจึงจะเป็นที่สังเกตเห็น
          ความเป็นจริง มันไม่เกี่ยวกับว่าคุณพูดเสียงดังแค่ไหน แต่สิ่งที่คุณพูดต่างหากที่สำคัญกว่า
          การกล้าแสดงออกทำให้คนอื่นรู้ว่า คุณทำงานได้ดีแค่ไหน แต่หัวใจสำคัญไม่ใช่การตะโกนให้ดังที่สุด แต่เป็นการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ขอคำแนะนำ และแบ่งปันเครดิตให้คนอื่นบ้าง คนจะขอบคุณและอยากช่วยคุณอีก แต่คนที่แสดงออกก็มีข้อได้เปรียบคือพลังงานของพวกเขาเป็นที่ดึงดูดใจ สิ่งที่ดีที่สุดก็คือการสลับไปมาระหว่างการแสดงออกกับเก็บความรู้สึกตามแต่สถานการณ์



ขอขอบคุณข้อมูลจาก Lisa และ www.kapook.com

กลิ่นความหวาน ของวันวาน เยือนสถานที่งดงามครั้งอดีตที่ เพชรบุรี



      
           ท่ามกลางแสงแดดอุ่น ๆ ในเดือนแห่งความรักท้องฟ้าใสกระจ่าง กับลมบาง ๆ ที่พาพัด ดูช่างเป็นใจให้กับคนชอบเดินทางเหลือเกิน หากจะให้เข้ากับบรรยากาศ ก็ต้องเกี่ยวก้อยคนรู้ใจไปด้วยกันเป็นคู่
          ครั้งนี้เราเจาะจงเลือกเดินทางไปที่ อุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี (เขาวัง), พระราชวังบ้านปืนและพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ด้วยเห็นพ้องต้องกันว่า แต่ละแห่งนั้นสวยงามและมีสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นการเดินทางท่องเที่ยวในเดือนแห่งความรักเช่นนี้ คงจะดีไม่น้อยถ้าได้ไปหวนรำลึกถึงความหลังกับสถานที่สวย ๆ ท่ามกลางความโรแมนติกในบรรยากาศเก่า ๆ

          พระนครคีรี
          7.30 น. เราออกเดินทางด้วยรถยนต์จากกรุงเทพฯ โดยใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 35 (ธนบุรี-ปากท่อ) ผ่านสมุทรสาคร สมุทรสงคราม พอถึงอำเภอปากท่อให้แยกเข้าทางหลวงหมายเลข 4 เพื่อตรงไปเพชรบุรีระยะทางราว ๆ 123 กิโลเมตร หรือจะเลือกใช้อีกเส้นทางคือ จากกรุงเทพฯ ไปตามทางหลวงหมายเลข 4 ผ่านนครปฐม ราชบุรี ไปยังเพชรบุรี ระยะประมาณ 166 กิโลเมตร พอแดดสายเริ่มส่องราว ๆ  9.30 น. เราก็ถึงเขาวังบริเวณที่มีรถรางไฟฟ้า เพราะแน่ใจว่าน่าจะสะดวกรวดเร็วกว่าการเดินเท้า ถึงแม้จะต้องเสี่ยงต่ออาการกลัวความสุงอยู่บ้างก็ตาม หลังจากซื้อบัตรโดยสารในราคา 30 บาท ก็เข้าแถวเดินขึ้นไปนั่งอย่างเป็นระเบียบเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย รถรางก็ค่อย ๆ เคลื่อนตัว ถ้าเกิดอาการกลัวเล็ก ๆ จะแอบจับมือคนที่ไปด้วยก็ช่วยให้อุ่นใจได้ไม่น้อย เพียงไม่กี่นาทีก็มาถึงที่หมาย



          โบราณสถานเก่าแก่คู่เมืองเพชรบุรี เดิมเรียก เขาสมน หรือเขาคีรี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงพอพระราชหฤทัยที่จะสร้างพระราชวังสำหรับเสด็จแปรพระราชฐานบนยอดเขาแห่งนี้ มีพระที่นั่ง พระตำหนัก วัด และกลุ่มอาคารต่าง ๆ มากมาย ส่วนใหญ่เป็นสถาปัตยกรรมตะวันตกแบบนีโอคลาสสิก ผสมสถาปัตยกรรมจีน ตั้งอยู่บนยอดเขาใหญ่ ๆ 3 ยอดด้วยกัน ยอดเขาด้านตะวันออก บริเวณไหล่เขาเป็นที่ตั้งของวัดมหาสมณาราม เป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุะยา ส่วนบนยอดเขาเป็นที่ตั้งของวัดพระแก้ว เป็นวัดประจำพระราชวังพระนครคีรี เขายอดกลางเป็นที่ประดิษฐาน พระธาตุจอมเพชร มีความสูง 40 เมตร ยอดเขาด้านทิศตะวันตก เป็นที่ตั้งของพระราชวังที่ประทับ กรมศิลปากรได้ใช้บางส่วนของพระราชวังบนยอดเขาด้านทิศตะวันตกจัดเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระนครคีรี เข้าชมได้ตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น.
          แม้จะต้องเดินลัดเลาะไปตามทางขึ้นเขาบ้าง แต่ก็มิได้เหนื่อยหนักเกินกำลัง ความงามจากสองข้างทางที่เต็มไปด้วยดอกลั่นทมสีขาวเหลืองซึ่งออกดอกชูช่อและบ้างก็ร่วงหล่นลงพื้น ราวกับตั้งใจที่จะโปรบปรายให้เกลื่อนกลาดตามทางเดิน ดูเป็นเสน่ห์ที่รายล้อมอยู่รอบเขาวัง

          พระราชวังบ้านปืน
          เราเดินทางไปต่อกันที่ พระราชวังบ้านปืน หรืออีกชื่อหนึ่งคือ พระรามราชนิเวศน์ ซึ่งอยู่ที่ ต.บ้านหม้อ ไม่ไกลจากเขาวังนัก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์ให้สร้างด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อเป็นพระราชนิเวศน์สำหรับประทับแรมในฤดูฝน โดยย่อส่วนมาจากพระราชวังฤดูร้อนของพระเจ้าวิลเลี่ยมไกเซอร์ แห่งเยอรมนี ซึ่งเป็นรูปแบบตามสถาปัตยกรรมยุโรป



          เพียงแค่มองภาพรวมอยู่ด้านนอก ก็รับรู้ได้ถึงความสวยสง่า คงไม่แปลกที่ใครหลายคนอยากจะเข้าไปสัมผัสความงามด้านในอย่างใจจดใจจ่อ แต่ละย่างก้าวเดินเป็นไปอย่างแผ่วเบา  ความเย็นจากพื้นหินอ่อนค่อย ๆ ถูกถ่ายทอดให้ได้รู้สึก บางมุมของพระราชวังทำให้คิดไปถึงฉากละครพีเรียดที่เคยได้ดู ทว่าภาพจริงตรงหน้ากลับดูยิ่งใหญ่และสวยงามจับตายิ่งกว่า พระราชวังแห่งนี้เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 8.00-16.00 น. โดยเสียค่าเข้าชมในราคา 20 บาท

          พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน
          ความงามจับใจยังไม่คลาย พลันรถก็ขับเข้ามาถึงค่ายพระรามหก ซึ่งอยู่ ต.ห้วยเหนือ อ.ชะอำ อันเป็นที่ตั้งของพระตำหนักที่ประทับริมทะเล  ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  โปรดให้รื้อพระตำหนักหาดเจ้าสำราญมาปลูกขึ้นใหม่เมื่อ พ.ศ. 2466 ได้รับขนานนามว่า พระราชนิเวศน์แห่งความรักและความหวัง ลักษณะเป็นพระตำหนักไม้สองชั้น หันหน้าออกสู่ทะเล พระตำหนักฝ่ายในอยู่ปีกขวา ทางปีกซ้ายเป็นส่วนของฝ่ายหน้า ประกอบด้วยพระที่นั่งสามองค์เชื่อมต่อถึงกันโดยตลอด พระที่นั่งสุนทรพิมานเป็นที่ประทับของพระนางเจ้าอินทรศักดิ์ศจี พระวรชายาพระที่นั่งพิศาลสาคร เป็นที่ประทับของพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นหมู่พระที่ตรงกลางประกอบด้วยห้องต่าง ๆ สำหรับสำราญพระอิริยาบถ ห้องข้าราชบริพาร ห้องทรงพระอักษร และพระที่นั่งสโมสรเสวกามาตย์ เป็นอาคารโถงสองชั้นเปิดโล่งเพื่อใช้เป็นที่ประชุมในโอกาสต่าง ๆ



          เรายืนมองอยู่อย่างเงียบเชียบ ท่ามกลางเสียงพลิ้วไหวของใบไม้ลู่ลม  แลสลับกับคลื่นที่ซัดสาด ก็เพื่อซึมซับความงามด้วยหัวใจ พระราชนิเวศน์มฤคทายวันนับเป็นสถาปัตยกรรมเอกของโลก ด้วยว่าเป็นพระราชวังไม้สักทองที่อยู่ชายทะเลเพียงแห่งเดียงในโลกเปิดให้เข้าชมทุกวัน ในช่วงเวลา 8.00-16.00 น. โดยเสียค่าเข้าชมท่านละ 30 บาท

          ทะเลหัวหินดูจะเป็นสถานที่แห่งความโรแมนติกตั้งแต่ครั้งก่อนเก่า เมื่อเวลาจะล่วงผ่านเลย ทำให้บางครั้งบางคราวอาจหลงลืมไปบ้าง แต่เมื่อใดที่มีโอกาสได้มาเยือน ความรู้สึกเหล่านั้นก็ยังคงกรุ่นอยู่ในหัวใจไม่เชื่อก็ลองสะกิดแขนคนใกล้ ๆ ถามไถ่ดูเอาว่ารู้สึกเช่นนั้นเหมือนกันไหม


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ทททสำนักงานอัยการจังหวัดเพชรบุรี, 


เมื่อที่ทำงานถึงจุดองศาเดือด





        เมื่อที่ทำงานถึงจุดองศาเดือด!!! 


          ถ้าคุณกำลังโดนโชคชะตาฟ้าดินกลั่นแกล้ง อุตส่าห์ได้ทำงานที่รัก ได้ทำสิ่งที่อยากทำ แต่ดันเจอที่ทำงานเลวร้าย ไร้ระบบทั้งโดนโบ้ยงานเป็นกุลี ทั้งโดนมาเฟียกลั่นแกล้ง สู้ทนทำงานแทบตายก็ไม่เจริญเพราะเลียแข้งขาใครไม่เป็น ซ้ำจะโดนเขี่ยออกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ถึงทุกอย่างมันเกินจะทน แต่ WP มีเทคนิคที่จะช่วยให้คุณพยุงตัวเองผ่านบรรยากาศสุดเลวร้ายในแต่ละวันไปได้โดยไม่สติแตก อย่างน้อยก็จนกว่าจะเจองานใหม่ที่ดีกว่าค่ะ
          1. ปิดหูปิดตาบ้างก็ได้
          เลิกคิดถึงสิ่งที่ไม่ถูกใจ สิ่งที่ไม่เป็นอย่างที่คิด เพราะคิดไป ก็มีแต่กลุ้มใจ หน้าแก่เปล่า ๆ ค่ะ ลองหันมามองหาแง่ดีบ้างว่า มีอะไรที่คุณคิดว่าคุ้มค่ากับการที่ต้องทนอยู่ เป็นต้นว่า บริษัทของคุณอาจจะมีชื่อ หรือคุณกำลังอยู่ในตำแหน่งงานที่ดีมีโอกาสก้าวหน้า ถ้าทนอยู่จนครบปี โปรไฟล์คงเริด จากนั้นก็เล็งไปที่เป้าหมายและเลิกท้อแท้กับเรื่องแย่ได้แล้ว
          2. ทำงานและทำงาน
          ไม่มีใครทำอะไรคุณได้แน่ ถ้าคุณทำงานดี คิดเสียว่างาน ก็ต้องเป็นงาน ทำสิ่งที่เขาจ้างให้คุณทำให้ดี และถ้าใครทำตัวมีปัญหามาขัดขวางการทำงานของคุณ ก็ให้จัดการไปตามระบบระเบียบโปร่งใส ไม่มีนอกรอบ
          3. เล่นบทนางเอก
          ใครจะนิสัยเสีย ทำตัวแย่ ๆ ก็ช่างเขา ในเมื่อเราเห็นว่ามันไม่ดีก็อย่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างสิคะ ทำดีกับทุกคนดีกว่า อย่างน้อยตัวเราเองก็สบายใจ แต่ถ้าใครเข้ามาคุกคามรังควานก็อีกเรื่องหนึ่ง คงต้องหาทางตอบโต้แบบผู้ดีเป็นกรณีไป ไม่เช่นนั้นผู้ร้ายจะย่ามใจได้ค่ะ
          4. ระวังนางอิจฉา
          พวกอีโก้จัดและขี้อิจฉาตาร้อนนี่แหละ ตัวแสบที่ทำให้ที่ทำงานปั่นป่วน ยิ่งการงานของคุณส่องประกายเฉิดฉายมากเท่าไหร่ พวกนี้จะยิ่งราวีเพราะกลัวคุณจะได้ดีกว่า ดังนั้นต้องระวังตัวเสมอ เวลาที่ต้องดีลงานกับคนเหล่านี้ พยายามอย่าไปปลุกไฟอิจฉาให้ลุกโชน และควรมีพยานหลักฐานหรือพยานบุคคล เพื่อบังคับให้นางอิจฉาทั้งหลายต้องวางตัวเป็นมือโปร ๆ
          5. รู้ทันอำนาจมืด
          สืบให้รู้ว่าใครคือผู้กุมอำนาจที่แท้จริงของที่ทำงาน บางครั้งคนที่ร้ายกาจอาจไม่ใช่บอสใหญ่ แต่เป็นเลขาฯ หน้าห้องจอมจุ้น หรือผู้จัดการขี้ฟ้อง ควรพยายามอยู่นอกสายตาคนเหล่านี้เป็นดีค่ะ
          6. หากองกำลังหนุน
          มองหาคนคุยกันถูกคอนิสัยเข้ากันได้ เอาไว้เป็นสมัครพรรคพวก เพราะถ้าที่ทำงานแย่จริง คงไม่ใช่คุณคนเดียวหรอกค่ะที่อึดอัดแทบบ้าตาย น่าจะมีอีกหลายคนที่ตกที่นั่งเดียวกัน และกำลังต้องการความช่วยเหลือจากใครสักคน
          7. หยุดวอนหาเรื่องใส่ตัว
          เรื่องร้าย ๆ ทั้งหลายอาจดีขึ้นได้ง่าย ๆ ถ้าคุณมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้านายโดยตรงของคุณ งานนี้ไม่ถึงกับต้องเสียน้ำลายไปเลียแข้งขาใครหรอกนะคะ แค่คุณวางตัวและให้ความเกรงใจบอสตามลำดับบังคับบัญชา เคารพในความสามารถของเขา และอย่าหาเรื่องใส่ตัวด้วย การทำอะไรข้ามหัวให้เขาเกลียดขี้หน้า แค่นี้ประตูของดินแดนสวรรค์ยูโทเปีย ก็เปิดให้เห็นรำไร ดีไม่ดีอาจถึงขั้นสามารถเปลี่ยนบรรยากาศอันเลวร้าย ให้กลายเป็นที่ทำงานในฝันของคุณเลยก็ได้ ใครจะไปรู้


  
ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ความสวยที่มาจากน้ำผึ้ง


          ใครรู้บ้างว่า... น้ำผึ้งสามารถทำให้สวยได้อย่างไร? วันนี้เกร็ดความรู้มีคำตอบมาบอก...
          ก่อนอื่นต้องทดสอบก่อนว่า น้ำผึ้งที่ใช้นั้นเป็นน้ำผึ้งแท้รึเปล่า? วิธีทดสอบคือ ตั้งทิ้งไว้สักพัก ถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้จากธรรมชาติ จะสังเกตเห็นเกสรดอกไม้ลอยอยู่ด้านบน

 หน้าแห้งแตกเป็นขุย
          ใครที่มีผิวหน้าแห้งกร้าน ให้นำไข่แดง 1 ฟอง และน้ำผึ้ง 1 ช้อน ผสมให้เข้ากัน พอกหน้าทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

 น้ำผึ้งสยบสิวเสี้ยนบนใบหน้า 
          หลังล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นแล้ว เช็ดหน้าให้แห้ง จากนั้น นำกล้วยหอมครึ่งลูกมาบดผสมกับน้ำผึ้ง นำมาทาบนใบหน้าทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด เพราะน้ำผึ้งมีเอนไซม์ที่ทำให้หน้าคุณชุ่มชื่นนุ่มนวลมากขึ้น และ
บำรุงผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ได้อีกด้วย

 ผมหยาบกระด้างเกินเยียวยา 
           หลังสระผมเสร็จ นำน้ำผึ้งผสมกับน้ำมันมะกอกอย่างละ 3 ช้อนโต๊ะ ชโลมให้ทั่วผมแล้วทิ้งไว้ 3-5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผมจะนิ่มและเงางามดุจเส้นไหม

 สครับหน้าแบบง่าย ๆ
          แค่เพียงนำน้ำผึ้งผสมกับแอปเปิ้ลมาปั่นรวมกัน ทาให้ทั่วใบหน้าแล้วนวดเบา ๆ ความหยาบของแอปเปิ้ลจะช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าให้ออกไป ทำให้ผิวหน้าสดใสเปล่งปลั่งขึ้น

 สูตรไล่ตีนกาออกจากหน้า 
          นำแครอท 1 หัวเล็ก มาปอกเปลือกและปั่นให้ละเอียด ผสมกับน้ำผึ้ง และนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

บอกลาคอเลสเตอรอล

Bye Bye Cholesterol


          เบื่อกันไหม กับเจ้าก้อนไขมันที่ไม่จำเป็น แต่กลับรวมหัวกันจับตัวทั่วร่างกายเรา มาบอกลากันเสียทีจะดีกว่า เพราะไม่เพียงจะทำให้คุณสวย มั่นใจขึ้น แต่สุขภาพโดยรวมก็ยังแข็งแรงขึ้นด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะหัวใจรับรองว่าจะกระชุ่มกระชวยขึ้นอีกเป็นกองเลยค่ะ ยิ่งช่วงใกล้สิ้นปีแบบนี้ เริ่มต้นปฏิวัติตัวใหม่กันเสียที ฉบับนี้เลยขออาสา สรรหาสารพัดวิธีที่จะโบกมือลาคอเลสเตอรอล ตัวการทพคุณหมดสวย แถมร่างกายเสื่อมโทรม ถ้าพร้อมแล้วก็ตามเรามาเลย
STEP 1 สำรวจตัวตน


          มาเริ่มต้นง่าย ๆ กับการสำรวจตัวเองกันก่อนดีมั้ยคะว่า เจ้าคอเลสเตอรอลอยู่ในตัวคุณมากน้อยแค่ไหนถึงขั้นวิกฤติหรือยัง หรือมันยังแค่เริ่มต้นเข้ามาคุกคามคุณ ก่อนอื่นมารู้จักกันเสียหน่อยว่าคอเลสเตอรอลคืออะไร
          สิ่งนี้ก็คือสารไขมันที่มีลักษณะคล้ายขี้ผึ้ง และจะปรากฏอยู่ในทุกเซลล์ของร่างกายคนเราค่ะ บางชนิดก็จำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย ในขณะเดียวกันบางชนิด ก็ไม่จำเป็นเลยด้วยซ้ำที่จะอยู่ในร่างกายเรา ดังนั้นส่วนที่จำเป็น จึงทำหน้าที่เป็นส่วนประกอบผนังเซลล์ในร่างกายและส่วน ประกอบสำคัญของฮอร์โมนบางชนิดที่จำเป็นของร่างกาย


 แค่ไหนจึงจะเรียกว่าคอเลสเตอรอลสูง


          1.พฤติกรรมการบริโภคที่น่ากลัวอย่างประเภทชอบกินอาหาร พวกไข่แดง เครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ส่วนที่ติดมันทุกชนิด อาหารทะเลบางชนิด เช่น หอยนางรม ปลาหมึก รวมถึงอาหารที่ปรุงด้วยน้ำมันทุกชนิดค่ะ
           2.คุณไม่เคยออกกำลังกายเลย ล่าสุดที่คุณเล่นกีฬาจนเสียเหงื่อคือ สมัยเรียนวิชาพละศึกษาตอนมัธยมปลายหรือเปล่าคะ ถ้าใช่ คุณกำลังเสี่ยงที่จะมีคอเลสเตอรอลสูงแล้วละค่ะ
           3. ปาร์ตี้ทุกครั้งก็สูบบุหรี่ทุกครั้ง บางคนสูบจนติดมาถึงชีวิตประจำวัน รู้มั้ยคะ นอกจากบุหรี่จะทำให้คุณมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคทางเดินหายใจ วัณโรค แล้วคุณยังเสี่ยงที่จะมีคอเลสเตอรอลสูง จนทำให้หลอดเลือดหัวใจตีบลงอีกด้วยค่ะ
          4.ความเสี่ยงอย่างหนึ่งที่คุณควรพึงสำรวจ นั่นคือประวัติการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน และความดันโลหิตสูงของคนในครอบครัวคุณค่ะ โดยเฉพาะผู้ที่เคยป่วยก่อนวัยอันควร คือผู้ชายอายุ 55 ปีและผู้หญิงอายุ 65 ปี    
 STEP 2 เพราะคอเลสเตอรอลสูง เราจึงอ้วน???


          ไม่เสมอไปหรอกค่ะ แต่มีโอกาสเป็นไปได้ที่คนอ้วนจะมีคอเลสเตอรอลสูง เพราะอาหารที่ผู้มีคอเลสเตอรอลสูงนิยมกินเข้าไปส่วนใหญ่แล้วเป็นประเภทไขมันสูง แถมยังเป็นไขมันที่ไม่ตำเป็นต่อร่างกายเสียด้วย ดังนั้น น้ำหนักตัวที่เกินพอดีจึงมักมาคู่กับโรคคอลเสตอรอลสูงค่ะ แถมคนอ้วนมักไม่ค่อยชอบออกกำลังกาย โอกาสที่จะเผาผลาญไขมันส่วนเกินจึงน้อยลงไปอีก ดังนั้น ความอ้วนจึงมาพร้อมกับไขมันที่ไม่พึงปรารถนาของร่างกายค่ะ

สาเหตุที่ทำให้ "อ้วน"

           1. นิสัยการกินจุบจิบ และเลือกกินแต่อาหารไขมันสูง แป้ง และน้ำตาลอันนี้สำคัญมาก ๆ เลยนะคะ เห็นอะไรก็อยากกินไปหมด โดยเฉพาะขนม ของทอด แป้ง ทำให้ระหว่างวันทำงานคุณไม่เคยปากว่างเลย
            2.กินอะไรทีก็นานเหลือเกิน ก็มันเพลินนี่คะ อย่างดูทีวีไปด้วยกินไปด้วย นั่งสังสรรค์กับเพื่อนฝูงแล้วก็กินไปด้วย อ่านหนังสือแล้วก็กินไปด้วย กิจกรรมพาเพลินที่มักทำควบคู่กับการกินอาหาร เหล่านี้แหละที่เป็นสาเหตุให้คุณอ้วน
           3.พันธุกรรมก็ทำให้อ้วนได้ แต่จริง ๆ แล้วถ้าเรารู้จักควบคุมนิสัยการกินและรู้จักเลือกที่จะกิน คุณก็ไม่จำเป็นต้องอ้วนตามบรรพบุรุษหรอกค่ะ
            4.โรคและความเจ็บป่วยบางอย่าง อันนี้น่าเห็นใจค่ะ อย่างเช่น โรคต่อมไธรอยด์ทำงานผิดปกติ และโรคซึมเศร้า ซึ่งหากมีการรักษาอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง เราก็อาจหลีกเลี่ยงภาวะอ้วนได้ค่ะ
           5.ไม่ออกกำลังกายเลย อันนี้ขอตำหนินะคะ เพราะหากคุณไม่ยอมออกกำลังเลย ไม่เพียงคุณจะต้องคอยพกพาความอ้วนไปทุกที่แล้ว คุณยังจะหมักหมมโรคร้ายต่าง ๆ ไว้อีกมากมายด้วยค่ะ
   STEP 3 ผลลัพธ์ที่น่าหวาดกลัว

          จากคอเลสเตอรอลสูงและความอ้วน แน่นอนว่าผลลัพธ์อย่างหนึ่งที่เห็นชัดเจน และทำให้คุณหวาดกลัวได้ทุกครั้งที่ส่องกระจก นั่นคือร่างกายที่อวบอ้วนจากน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น จนทำให้คุณใส่เสื้อตัวโปรดไม่ได้ กางเกงที่เคยสวยได้รูปก็บิดเบี้ยว เสียรูป ทำผมทรงไหนก็ไม่เข้าท่าเสียที และอีกหลายอย่างที่สาว ๆ อย่างเราคงเห็นได้เองจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเพราะความอ้วน แต่สิ่งหนึ่งที่เราอาจต้องพึ่งพาวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์เท่านั้น ถึงจะค้นเจอ เพราะโรคต่าง ๆ ที่หลบซ่อนอยู่ภายในตัวเรากำลังก่อตัวขึ้นทีละนิด โดยเฉพาะโรคหัวใจ เพราะปกติหลอดเลือดจะมีผิวเรียบลื่นสม่ำเสมอ แต่เมื่อมีคอเลสเตอรอลประเภท แอล ดี แอล มาจับที่ผนังหลอดเลือดจนพอกหนา เรียกส่วนนี้ว่า "พลัค" (Plaque) การก่อตัวของพลัคทำให้หลอดเลือดตีบลง ดังนั้นหัวใจจึงต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อดันให้เลือดเคลื่อนที่ผ่านไปได้ 

          นอกจากนี้พลัคสามารถขวางกั้นระบบไหลเวียนเลือดในเส้นเลือด และยังสามารถแตกตัวออกมาทำให้เกิดก้อนเลือดแข็งตัว และเมื่อมันเกิดขึ้นในเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ หรือสมอง ก็จะทำให้อวัยวะส่วนนั้นขาดเลือด จนเกิดเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือด หรือไม่ก็อัมพาตจากสมองขาดเลือดค่ะ

รักษาให้หายขาดได้หรือไม่


          ไม่ได้ สำหรับคอเลสเตอรอลสูง หากเป็นแล้วจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่คุณสามารถควบคุมระดับคอเลสเตอรอลได้ ซึ่งแน่นอนว่าระดับคอเลสเตอรอลสามารถกลับมาเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง เมื่อคุณหยุดการควบคุมมัน และโรคร้ายที่เกี่ยวกับหัวใจและสมองก็จะกลับมาอีกครั้ง ดังนั้นหากเป็นไปได้ เริ่มต้นหยุดยั้งคอเลสเตอรอลเสียตั้งแต่วันนี้จะดีกว่า

tips ไอเดียอาหารเช้าที่น่าสน!

          1. โยเกิร์ตไขมันต่ำ ข้าวโอ๊ต หรือคอร์นเฟลคก็ได้
          2.ถ้าชอบกินแป้งเพราะคิดว่าอยู่ท้องกว่าก็ลองเป็นขนมปัง Whole Wheat ดูก็ได้ค่ะ แล้วทาแยมถั่วบาง ๆ รับรองอร่อย
          3. นมถั่วเหลือง หรือน้ำเต้าหู้ ใส่เครื่องพวกถั่วต่าง ๆ
          4. ข้าวต้ม หรือจะเป็นผลไม้ก็เวิร์กค่ะ
 STEP 4 สารพัดไอเดีย ลด ละ เลิก พฤติกรรมที่จะทำให้คุณอ้วน

          คุณควรเริ่มต้นจากเทคนิคการเลือกอาหาร เพราะปัจจัยแรกสุดคือ พฤติกรรมการบริโภคของเราจะเป็นตัวการใหญ่ ที่ทำให้คุณมีโอกาสคอเลสเตอรอลสงูจนทำให้อ้วน และอันตรายถึงขั้นหลอดเลือดหัวใจอาจเป็นอัมพาต และเสียชีวิตได้
          1.เลือกกินอาหารที่มีแคลอรีต่ำ เช่น ก๋วยเตี๋ยว ของต้ม อาหารไขมันสูงอย่าง ไข่แดง เครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ติดมันทุกชนิด และอาหารทะเล โบกมือลาไปได้เลยค่ะ
          2. ดื่มน้ำมาก ๆ อย่างต่ำ 8 แก้วต่อวัน เพื่อให้น้ำเข้าไปล้างไขมันที่สะสม รวมถึงร่างกายคนเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบถึง 80% ดังนั้นน้ำจึงมีประโยชน์มาก ๆ ในการล้างพิษต่าง ๆ แถมยังทำให้ผิวพรรณสวย ชุ่มชื่น เริ่มต้นดื่มน้ำเยอะ ๆ กันเถอะ
          3.เลือกกินผัก ผลไม้หลายสีหลายชนิด เพื่อรับสารที่มีคุณค่าอย่างครบถ้วน
          4. มื้อเช้าสำคัญที่สุด อย่าลืมนะคะ ทั้งจำเป็นต่อร่างกายในการนำมาใช้งานระหว่างวัน เพื่อลดการสะสมถึงเย็น แล้วยังช่วยรักษาโรคกระเพาะที่คนรุ่นใหม่นิยมเป็นกันอีกด้วยค่ะ
          5. อาหารที่กิน อย่าลืมเช็กว่ามีกากใยมากหรือเปล่า เพราะมันจำเป็นต่อการย่อยค่ะ เช่น เลือกกินผลไม้แทนน้ำผลไม้ ขนมปังที่มีกาก และข้าวซ้อมมือค่ะ
          6. ลดการกินอาหารที่ใช้การปรุงโดยน้ำมัน และควรใช้น้ำมันพืชแทนน้ำมันสัตว์ อย่างเนยหรือน้ำมันหมู น้ำมันพืชที่สกัดจากเมล็ดพืชจะมีกรดไลโนเลอิก (Linoleic acid) ที่เป็นตัวนำคอเลสเตอรอลไปเผาผลาญได้เป็นอย่างดีค่ะ และควรหลีกเลี่ยงน้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูงอย่าง น้ำมันมะพร้าว หรือน้ำมันกะทินะคะ
          7. เลือกดื่มนมที่เป็นนมพร่องมันเนย แทนนมที่มีไขมันเต็มส่วน
          8. ลดอาหารทอด แล้วก็ควรเลือกกินเป็นอาหารนึ่ง ต้ม ย่าง อบ แทนเพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับมื้ออาหารของคุณค่ะ
          9. หลีกเลี่ยงอาหารหวาน แล้วเลือกใช้ส่วนผสมเป็นน้ำตาลเทียมจะดีกว่าเยอะเลยค่ะ ไม่เสี่ยงคอเลสเตอรอลสูงแล้วยังไม่เป็นเบาหวานด้วยค่ะ
          10. กินอาหารให้ตรงมื้อ ตรงเวลา แล้วก็กินช้า ๆ ค่อย ๆ เคี้ยว จะทำให้คุณกินอาหารได้น้อยลง แต่ก็เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแน่นอนค่ะ

tips 
          อาหารเจ ทางเลือกสุดเวิร์ก ได้บุญแถมลดคอเลสเตอรอลอีกด้วย เพราะนอกจากจะเป็นโอกาสที่ดีในการลด ละ เลิกฆ่าสัตว์มาทำเป็นอาหารแล้ว การกินแต่ ผักผลไม้ จะช่วยลดน้ำหนัก และคอเลสเตอรอลที่สะสมในร่างกายของเราได้ดีอีกด้วยค่ะ แต่ต้องเลือกกินอาหารเจที่ปรุงจากการนึ่ง ต้ม หรือไม่ก็ทอด หรือผัดจากน้ำมันพืชเท่านั้นนะคะ เพียงเท่านี้จะทำให้คุณห่างไกลจากโรคร้ายต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็งโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคไต ไขข้ออักเสบโรคเกาต์ โรคเบาหวาน และแน่นอนโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด อันเกิดมาจากเจ้าคอเลสเตอรอลวายร้ายนั่นเอง



ขอขอบคุณข้อมูลจาก