วันเสาร์, ตุลาคม 30, 2553

ปริญญาสองใบ...น่าอ่าน

ที่เมืองไทยปีที่แล้วมีข่าวเกรียวกราวมาก

คือมีดาราคนหนึ่งซึ่งมีชื่อดังมาก

เป็นคนดำเนินรายการคนค้นคน

ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร

มาเรียนที่อเมริกา

เป็นคนเพอร์เฟคชั่นนิส

ทำงานทุกอย่างต้องดูดีที่สุด แม้กระทั้งล้างจาน

ล้างเสร็จแล้วแกต้องเอามาดมดู

ว่าสะอาดจริงมั้ย

กลับไปเมืองไทยก็ไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย

มีแฟนก็จีบดาวมหาวิทยาลัยเลย

ต้องให้ดีที่สุด

เวลาแกไปเสนองานอะไรต่าง ๆ เขียนไว้สามแผน

แผนที่หนึ่งลูกค้าไม่ซื้อ

แกเสนอแผนที่สอง

แผนที่สองลูกค้าไม่ซื้อแกเสนอแผนที่สาม

ใครไปดีลงานกับแกติดทุกราย แกมีบ้าน

มีรถ มีลูก มีภรรยา มีธุรกิจ

มีชื่อเสียงทุกอย่าง แกมีทุกอย่าง

หลังจากที่ทำงานแบบไม่ได้พักเลย วันหนึ่งแกไปพัก

ที่ปากช่อง ตื่นขึ้นมากลางวันล้มฟุ๊บลงไป

ภรรยาพาเข้าโรงบาล ตรวจพบมะเร็ง

พอพบปุ๊บเป็นระยะสุดท้ายเลย จริง ๆ เค้าก็เตือนตลอด

แต่พอไม่มีเวลาไปตรวจมันก็แก้ไม่ได้

แกไปนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล

แล้วก็สารภาพให้รายการคนค้นคน บันทึกชีวิตแก

ก่อนจะเสียชีวิต แกก็ไปนอนให้พ่อแม่เช็ดเนื้อเช็ดตัว

แกก็บอกว่าสังเวชตัวเองมากแทนที่ลูกจะได้ดูแลพ่อแม่

กลับมาเป็นว่าพ่อแม่ต้องมาดูแลลูก

ก่อนจะเสียชีวิตแกให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์คมชัดลึกบอกว่า

พ่อผมเคยบอกว่าเกิดเป็นคนต้องได้ปริญญาสองใบ

ปริญญาใบที่หนึ่ง ' ปริญญาวิชาชีพ '

เราจะต้องทำมาหากินเป็น กินอิ่ม นอนอุ่น

พูดง่าย ๆ ล้วงไปในกระเป๋าแล้วมีเงินใช้ อยากจะนอนบ้านที่เป็นของตัวเอง นี้คือปริญญาวิชาชีพ

ปริญญาใบที่สอง ' ปริญญาวิชาชีวิต ' คือวิชาธรรมะ

สำหรับจะดูแลชีวิตให้ดำเนินอยู่ในทางสายกลาง



ซึ่งเป็นปริญญาใบที่สองที่พ่อแกบอกไว้

แกบอกว่า ผมสอบตกโดยสิ้นเชิง

ผมเป็นดอกเตอร์จากอเมริกาได้ปริญญาวิชาชีพ

แต่ปริญญาวิชาชีวิตสอบตก เพราะอะไร

เพราะทำงานจนป่วยตาย

ก่อนที่จะเสียชีวิตแกได้สารภาพว่าผมได้เตรียมทุกอย่าง

บ้าน รถ มอบมันให้กับลูกและภรรยา

แต่ในวันที่ผมมีทุกสิ่งทุกอย่าง

ผมกลับลืมมอบหนึ่งอย่างให้กับลูกและภรรยา

สิ่งนั้นคือสิ่งที่ผมลืมและทำให้ผมล้มเจ็บใหญ่ครั้งนี้

สิ่งที่ว่านี้คือผมลืมมอบตัวเองเป็นของขวัญให้กับลูกและเมีย

เพราะทำงานหนักจนกระทั่งป่วยตาย

นี่คือปริญญาวิชาชีวิต

ธรรมะเราจะต้องมี ถ้าเราไม่มีธรรมะ

เราจะกลายเป็นหุ่นยนต์เท่านั้นเอง

ที่ทำงานแทบล้มประดาตายแล้วสุขภาพไม่ดี

ดังนั้นเมื่อเราทุกคนทำงานแล้ว

อย่าลืมชั่วโมงสุขภาพของตัวเองในแต่ละวันนะ

แต่ละวันควรจะมี ให้ดูแลตัวเอง

ดูจิต ดูใจตัวเอง ว่าเรา เอ๊ะ มันทุกข์

มันทุกข์มากเกินไปรึเปล่า

แบกเรื่องโน้นเรื่องนี้ เกินไปหรือเปล่า

พยายามลดลงในแต่ละวัน ๆ

เพื่อที่ว่าอะไร

เพื่อที่ว่าเราจะได้ปริญญาสองใบในชีวิต

หนึ่งปริญญาวิชาชีพ

เราทำมาหากินจนประสบความสำเร็จร่ำรวยมั่งคั่ง

มีเงินมีทองใช้มีบ้านอยู่

แต่ต้องไม่ลืมปริญญาใบที่สอง

คือวิชาธรรมะ

สำหรับจะดูแลชีวิตให้ดำเนินอยู่ในทางสายกลาง

ไม่ทุกข์เกินไปไม่เดือนร้อนเกินไป

ทำอะไรให้พอดี พอดีอยู่ดีมีสุข

อยากเที่ยวให้ได้เที่ยว อยากพักให้ได้พัก

อยากทำบุญให้ได้ทำบุญ

ลูกหลานมาหา ก็ให้ได้มีเวลากับลูกกับหลานบ้าง

อย่าวิ่งไปจนซ้ายสุด ขวาสุด

และมารู้สึกตัวอีกที ก็ล้มเจ็บใหญ่ไม่ดี เพราะอะไร

เพราะว่าสิ่งสูงค่าทีสุดในชีวิตของเรา

เคยมีคนไปทูลถามพระพุทธเจ้า

ว่าอะไรคือสิ่งสูงค่าที่สุด บางคนก็ตอบเงิน

บางคนก็ตอบเพชร บางคนก็ตอบทอง

บางคนก็ตอบอำนาจ บางคนก็ตอบราชบัลลังก์

พระพุทธเจ้าบอกไม่ใช่ สิ่งสูงค่าที่สุดในชีวิตของพวกเธอคือสุขภาพและชีวิต

สุขภาพก็คือการที่เราไม่เจ็บไข้ได้ป่วย

คนที่สุขภาพดีดื่มน้ำธรรมดาก็อร่อยนะ

และก็ชีวิตของเรา
..................ไม่มีใครทำให้คนทุกคนรักเราได้.....................

.......อาจจะมีคนชอบในตัวเรา10คน แต่ก็มีคนเกลียดเรา100คน........

...............แคร์คนที่แคร์เรา ไม่แคร์คนที่ไม่แคร์เรา..............

..............มีมิตรแท้เพียงหนึ่ง ดีกว่ามีเพื่อนกินเป็น100.............

สุดมือสอยก็ปล่อยมันไป

เมื่อคุณชี้แจงไปแล้ว เขาก็ควรจะยอมรับฟัง แต่เมื่อเขาไม่ฟัง และคุณก็ได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุดไปแล้ว ก็คงต้อง “ปล่อยมันไป”

ในโลกนี้ มีเรื่องอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างที่เราไม่สามารถให้เวลากับมัน หรือไม่สามารถทำในสิ่งนั้นให้ดีที่สุด แต่แล้วเราก็ต้องปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นผ่านไป เพราะหากเรามัว แต่จะ“นับเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา” เวลาของคุณคงไม่พอเป็นแน่

(มีความหมายว่า จะพยายามทำให้คนทั้งโลกรู้สึกพอใจตัวเองในทุกเรื่อง)

ดังนั้น ทำอะไรก็ตาม ควรทำเท่าที่เราทำได้ เมื่อทำอย่างดีที่สุดแล้ว คนเขาไม่เห็นว่าดีก็ต้อง “ปล่อยมันไป”

เลือกทำในสิ่งที่เห็นว่า เราถนัดที่สุด และมีความสุขที่จะทำก็พอแล้ว

อะไรก็ตาม ที่เราไม่ถนัด หรือถึงถนัด...แต่ไม่มีความสุขที่จะทำ ก็อย่าทำ

เรามีเวลาไม่มากนักหรอกที่จะแบกสารพัดภาระในโลกนี้ ควรมองไหล่ของตัวเองดูสักหน่อยว่า พร้อมจะแบกเป้หลังที่มีน้ำหนักมากน้อยเพียงใด อย่าแบกอะไรที่เกินกำลังของตัวเองเพราะไม่เพียงแต่มันจะทำให้คุณเป็นทุกข์ แต่บางทีอาจมีผลต่อการยืนตรงๆ อย่างยาวนานของคุณด้วย
ราชบัณฑิตยสถาน แบ่งประเทศไทยออกเป็น 6 ภาค โดยใช้เกณฑ์ด้านภูมิศาสตร์[2] ซึ่งเป็นการแบ่งที่ใช้อย่างเป็นทางการ และมีใช้ทั่วไปในแบบเรียน


ภาคเหนือ มี 9 จังหวัด

1.จังหวัดเชียงราย

2.จังหวัดเชียงใหม่

3.จังหวัดน่าน

4.จังหวัดพะเยา

5.จังหวัดแพร่

6.จังหวัดแม่ฮ่องสอน

7.จังหวัดลำปาง

8.จังหวัดลำพูน

9.จังหวัดอุตรดิตถ์


ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มี 19 จังหวัด

1.จังหวัดกาฬสินธุ์

2.จังหวัดขอนแก่น

3.จังหวัดชัยภูมิ

4.จังหวัดนครพนม

5.จังหวัดนครราชสีมา

6.จังหวัดบึงกาฬ (รอการจัดตั้งอย่างเป็นทางการตามพระราชบัญญัติจัดตั้งจังหวัดบึงกาฬ พ.ศ. 25..)

7.จังหวัดบุรีรัมย์

8.จังหวัดมหาสารคาม

9.จังหวัดมุกดาหาร

10.จังหวัดยโสธร

11.จังหวัดร้อยเอ็ด

12.จังหวัดเลย

13.จังหวัดสกลนคร

14.จังหวัดสุรินทร์

15.จังหวัดศรีสะเกษ

16.จังหวัดหนองคาย

17.จังหวัดหนองบัวลำภู

18.จังหวัดอุดรธานี

19.จังหวัดอุบลราชธานี

20.จังหวัดอำนาจเจริญ


ภาคกลาง มี 21 จังหวัด (กรุงเทพมหานครไม่ถือเป็นจังหวัด)



1.จังหวัดกำแพงเพชร

2.จังหวัดชัยนาท

3.จังหวัดนครนายก

4.จังหวัดนครปฐม

5.จังหวัดนครสวรรค์

6.จังหวัดนนทบุรี

7.จังหวัดปทุมธานี

8.จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

9.จังหวัดพิจิตร

10.จังหวัดพิษณุโลก

11.จังหวัดเพชรบูรณ์

12.จังหวัดลพบุรี

13.จังหวัดสมุทรปราการ

14.จังหวัดสมุทรสงคราม

15.จังหวัดสมุทรสาคร

16.จังหวัดสิงห์บุรี

17.จังหวัดสุโขทัย

18.จังหวัดสุพรรณบุรี

19.จังหวัดสระบุรี

20.จังหวัดอ่างทอง

21.จังหวัดอุทัยธานี


ภาคตะวันออก มี 7 จังหวัด


1.จังหวัดจันทบุรี

2.จังหวัดฉะเชิงเทรา

3.จังหวัดชลบุรี

4.จังหวัดตราด

5.จังหวัดปราจีนบุรี

6.จังหวัดระยอง

7.จังหวัดสระแก้ว


ภาคตะวันตก มี 5 จังหวัด

1.จังหวัดกาญจนบุรี

2.จังหวัดตาก

3.จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

4.จังหวัดเพชรบุรี

5.จังหวัดราชบุรี


ภาคใต้ มี 14 จังหวัด


1.จังหวัดกระบี่

2.จังหวัดชุมพร

3.จังหวัดตรัง

4.จังหวัดนครศรีธรรมราช

5.จังหวัดนราธิวาส

6.จังหวัดปัตตานี

7.จังหวัดพังงา

8.จังหวัดพัทลุง

9.จังหวัดภูเก็ต

10.จังหวัดระนอง

11.จังหวัดสตูล

12.จังหวัดสงขลา

13.จังหวัดสุราษฎร์ธานี

14.จังหวัดยะลา

วันพุธ, ตุลาคม 27, 2553

เธอคือดวงใจของฉัน

ใครอาจจะไม่เข้าใจ


ว่าความสัมพันธ์ของเรานั้นมันเป็นเช่นไร

และใครอาจจะเข้าใจผิด

และคงคิดไปและคงเข้าใจตามที่เห็น


* คงมีเพียงเราสองคน ท่ามกลางหมู่ดาวมากมาย ที่รู้กันในใจ

มันจำเป็นด้วยหรือ ที่ต้องอยู่ในกฎเกณฑ์

ที่ใครบางคนกำหนดว่ารักเป็นอย่างไร


** ไม่ต้องรู้ว่าเราคบกันแบบไหน

ไม่อาจหาคำๆไหนมาเพื่ออธิบาย

ไม่ต้องรักเหมือนคนรักก็สุขหัวใจ

เพียงแค่เราเข้าใจ ก็เหนือคำอื่นใดในโลกนี้


เราอาจจะแยกกันอยู่ ไม่นอนด้วยกันทุกคืนทุกวันอย่างคู่ใคร

อย่างน้อยมีเธอที่เข้าใจ แม้จะไม่มีผู้ใดเข้าใจความ