วันอังคาร, กรกฎาคม 23, 2556

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (บางตอนหนึ่ง.)

การมีเสรีภาพนั้น เป็นของที่ดีอย่างยิ่ง แต่เมื่อจะใช้ จำเป็นต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง ตามความรับผิดชอบ
มิให้ล่วงละเมิดเสรีภาพของผู้อื่นที่เขามีอยู่เท่าเทียมกัน ทั้งมิให้กระทบกระเทือนถึงสวัสดิภาพและความเป็นปกติสุขของส่วนร่วมด้วย”
พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่ผู้บังคับบัญชาลูกเสือ ๙ กรกฎาคม ๒๕๑๔
จิตใจและความประพฤติที่สะอาดและมีระเบียบ เป็นรากฐานสำคัญของชีวิตจิตใจทั้งความประพฤติดังนั้นใช่จะเกิดมีขึ้นเองได้
หากแต่จำเป็นต้องฝึกหัดอบรมและสนับสนุนส่งเสริมกันอย่างจริงจังสม่ำเสมอ นับตั้งแต่บุคคลเกิด
ดังที่มนุษย์ไม่ว่าชาติใดภาษาใด ได้เฝ้าพยายามกระทำสืบต่อกันมาทุกยุคทุกสมัย ทั้งเพื่อให้สามารถรักษาตัวและมีความสุข
ความสำเร็จในการครองชีวิต ทั้งให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ ด้วยความผาสุกสงบ
พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานเพื่อเชิญไปอ่านในพิธีเปิดการสัมมนาของสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย
เรื่อง การพัฒนาสังคมในด้านศีลธรรมและจิตใจ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๑๖
ความสามัคคีนั้น อาจหมายความถึงเห็นชอบเห็นพ้องกันโดยไม่แย้งกัน ความจริงงานทุกอย่างหรือการอยู่
เป็นสังคมย่อมต้องมีความขัดแย้งกัน ความคิดต่างกัน ซึ่งไม่เสียหาย แต่อยู่ที่จิตใจของเรา ถ้าเราใช้หลักวิชา
และความปรองดองด้วยการใช้ปัญญา การแย้งต่าง ๆ ย่อมเป็นประโยชน์ หากมีรากฐานของความคิดอย่างเดียวกัน
รากฐานของความคิดนั้นคือ แต่ละคนจะต้องทำให้บ้านเมืองมีความมีความเป็นปึกแผ่น
พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพรเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่ผู้เข้าเฝ้าฯ มีพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ฯ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๑๗
ความเข้มแข็งในจิตใจนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่จะต้องฝึกฝนแต่เล็กเพราะว่าต่อไป ถ้ามีชีวิตที่ลำบาก ไปประสบอุปสรรคใดๆ
ถ้าไม่มีความเข้มแข็ง ไม่มีความรู้ ไม่มีทางที่จะผ่านอุปสรรคนั้นได้ เพราะว่าถ้าไม่เจออุปสรรคอะไร
ก็ไม่มีอะไรที่จะมาช่วยเราได้แต่ถ้ามีความรู้ มีอัธยาศัยที่ดี และมีความเข้มแข็ง ในกาย ในใจ
ก็สามารถที่จะผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ นั้นได้
พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่คณะครูและนักเรียนโรงเรียนราชวินิต ๓๑ ตุลาคม ๒๕๑๘

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (บางตอนหนึ่ง)

"สัจจะวาจา นั้นเป็นรากฐานของการทำงาน

หรือการดำรงชีวิตที่ดีที่งามที่มีความก้าวหน้ามีความสำเร็จ สัจ เป็นการตั้งใจ ตั้งจิตใจ
วาจาเป็นคำพูดออกมา แสดงถึงคำพูดนั้นต้องออกมาจากใจ คือเป็นการตั้งใจที่จะทำอะไรเพื่อความสำเร็จในงานนั้น…"
(พระราชดำรัส ในโอกาสที่ผู้พิพากษาประจำกระทรวงยุติธรรมเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ 18 มีนาคม 2525)
"...ผู้หนักแน่นในสัจจะ จะพูดอย่างไรทำอย่างนั้น
จึงจะได้รับความสำเร็จ พร้อมทั้งความศรัทธา เชื่อถือ
และความยกย่องสรรเสริญจากคนทุกฝ่าย การพูดแล้วทำคือ พูดจริง ทำจริง จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมเกียรติคุณของบุคคลให้เด่นชัด…"
(พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 10 กรกฎาคม 2540)
"...การปิดทองหลังพระนั้น เมื่อถึงคราวจำเป็นก็ต้องปิด
ว่าที่จริงแล้วคนโดยมาก ไม่ค่อยชอบปิดทองหลังพระกันนัก
เพราะนึกว่าไม่มีใครเห็น แต่ถ้าทุกคนพากันปิดทองแต่ข้างหน้า ไม่มีใครปิดทองหลังพระเลย พระจะเป็นพระที่งามบริบูรณ์ไม่ได้…"
(พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 25 กรกฎาคม 2506)

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 2522 และ 2524 และ 2536 (บางตอนหนึ่ง)


"สามัคคีหรือการปรองดองกัน ไม่ได้หมายความว่าคนหนึ่งพูดอย่างหนึ่ง คนอื่นต้องพูดเหมือนกันหมด
ลงท้ายชีวิตก็ไม่มีความหมาย ต้องมีความแตกต่างกัน แต่ต้องทำงานให้สอดคล้องกัน
แม้จะขัดกันบ้างก็ต้องสอดคล้องกัน"
(พระราชทานแก่ คณะบุคคลต่างๆในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 4ธันวาคม 2536)
.......................................................
"การที่จะให้งานประสานกัน เพื่อช่วยให้ งานของทุกฝ่าย ดำเนินก้าวหน้า ไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และรวดเร็วนั้น ทุกฝ่ายจะต้อง ไม่แบ่งแยกกัน ไม่แย่งประโยชน์ ไม่แย่ง ความชอบ กัน
แต่ละฝ่ายแต่ละ คนต้องทำงานด้วยความบริสุทธิ์ใจ มุ่งหวัง ผลสำเร็จ
ในการงานเป็นใหญ่ยิ่งกว่า สิ่งอื่น..."
ความตอนหนึ่ง ในพระบรมราโชวาท
ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาของสถาบันเทคโนโลยีการเกษตรแม่โจ้ เชียงใหม่ วันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๒
......................................................
"ประโยชน์หรือการสร้างสรรค์ในทางที่ดีนั้น จะเกิดขึ้นได้ก็ ด้วยการลงมือทำ
หมายความว่าจะต้อง นำความรู้ความสามารถที่มีอยู่นั้น มาใช้งาน ลงมือใช้เมื่อไหร่ เพียงใดประโยชน์ ก็เกิด เมื่อนั้น เพียงนั้น
เมื่อ ยังไม่ลงมือ ทำประโยชน์ก็ยังไม่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นจะมีความรู้ ความสามารถมากมายเพียงใด ถ้าไม่นำใช้ก็ ปราศจากประโยชน์"
ความตอนหนึ่ง ในพระบรมราโชวาท
พระราชทานแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาณ อาคารใหม่ สวนอัมพร วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๒๔

พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๓๐

 "การลงมือ หมายถึงการปฏิบัติด้วยวิธีต่าง ๆ ทุกอย่าง เรามักปฏิบัติด้วยมือจึงพูดเป็นสำนวนว่าลงมือ การลงมือหรือการปฏิบัตินั้นขึ้นอยู่กับการที่สมองหรือใจสั่ง คือใจสั่งเมื่อไร อย่างไรก็ทำเมื่อนั้น อย่างนั้น ฉะนั้นถ้าใจไม่สู้คือ อ่อนแอลังเล เกียจคร้าน หรือใจไม่สุจริต ไม่เที่ยงตรง ก็จะไม่ลงมือทำ หรือทำให้คั่งค้าง ทำให้ชั่วทำให้เสียหาย เป็นการเบียดเบียนตนเบียดเบียนผู้อื่น ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นการสร้างสรรค์ หากแต่เป็นการบั่นทอนทำลายให้เกิดความเสียหาย และเกิดโทษทุจริต นักปฏิบัติงานจึงต้องรู้จักปฏิบัติฝึกฝนใจของตนเองเป็นสำคัญ และเป็นเบื้องต้นก่อนคือ ต้องหัดทำใจให้หนักแน่น กล้าแข็ง และเป็นระเบียบ ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ไม่มักง่ายเห็นแก่ความสะดวกสบาย และสำคัญที่สุดจะต้องใจเที่ยงตรงเป็นกลางและสุจริตอยู่เสมอโดยไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์เครื่องล่อใด ๆ"


……………………………………………………………………………
"หลักการสำคัญประการหนึ่งที่จะส่งเสริมให้ปฏิบัติงานสำเร็จ และเจริญก้าวหน้าได้แท้จริง คือการไม่ทำตัวทำความคิดให้คับแคบ หากให้มีเมตตา และไมตรียินดีประสานสัมพันธ์กับผู้อื่นโดยเฉพาะผู้ร่วมงานอย่างจริงใจ"

พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยวันที่ 15 กรกฎาคม 2526

ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เกิดที่เป็นอยู่แก่เราในวันนี้ ย่อมมีต้นเรื่องมาก่อน ต้นเรื่องนั้นคือ เหตุ สิ่งที่ได้รับคือ ผล
และผลที่ท่านมีความรู้อยู่ขณะนี้จะเป็นเหตุให้เกิดผลอย่างอื่นต่อไปอีกคือ ทำให้สามารถใช้ความรู้ที่มีอยู่ทำงานที่ต้องการได้
แล้วการทำงานของท่าน ก็จะเป็นเหตุให้เกิดผลอื่นๆ ต่อเนื่องกันไปอีก ไม่หยุดยั้งดังนั้นที่พูดกันว่า ให้พิจารณาเหตุผลให้ดีนั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ
ให้พิจารณาการกระทำหรือกรรมของตนให้ดีนั่นเอง คนเราโดยมากมักนึกว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรเราทราบไม่ได้
แต่ที่จริง เราย่อมจะทราบได้บ้างเหมือนกันเพราะอนาคต ก็คือ ผลของการกระทำในปัจจุบัน พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย8 กรกฎาคม 2519
………………………………………….
ความผิดพลาดล้มเหลวของบุคคลหรือภารกิจต่างๆ นั้น ส่วนมากเกิดจากมูลเหตุ ข้อใหญ่ คือความหลอกตัวเอง หลอกกันและกัน.
และเมื่อทำการงานโดยไม่อาศัยความจริงเป็นหลัก การดำเนินงานและการปรับปรุงแก้ไขก็ผิดพลาด ไม่อาจทำให้งาน ให้ตนเอง ประสบผลสำเร็จที่ดีได้.
นักปฏิบัติงานเพื่อความสำเร็จและความเจริญจึงต้องยอมรับความจริง และยึดมั่นในความจริง มีความจริงใจต่อตัวเองและต่อกันและกันอย่างมั่นคงตลอดเวลา.
แต่ละคนจึงจะปฏิบัติตัวปฏิบัติงานได้อย่างสะดวกใจมั่นใจ ถูกต้องเที่ยงตรง ตามเป้าหมาย และพอเหมาะพอดี แก่ฐานะ แก่หน้าที่ แก่โอกาส พร้อมทุกอย่างได้ ยังผลให้การสร้างสรรค์ความดีความเจริญบรรลุศุภผลอันพึงประสงค์
 
ในยามที่สถานการณ์ของบ้านเมืองเรา และประเทศต่างๆ ในภูมิภาคส่วนนี้ของโลก กำลังเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
ท่านทั้งหลายต้องควบคุมสติให้มั่น ไม่หวั่นไหวไปกับวิกฤต ทำความคิดจิตใจให้หนักแน่น และเที่ยงตรงเสมอเหมือนกัน
แล้วมุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่ ด้วยความรู้ความสามารถ ด้วยความเฉลียวฉลาดรอบคอบ และความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน.
ก็จะร่วมกันปฏิบัติบริหารงานทุกด้านได้อย่างเข้มแข็ง เหนียวแน่น และประสบความสำเร็จอันงดงามตามเป้าหมาย

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กรมทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์ 29 สิงหาคม 2552)

หลักของคุณธรรม คือการคิดด้วยจิตใจที่เป็นกลาง ก่อนจะพูดจะทำสิ่งไร จำเป็นต้องหยุดคิดเสียก่อน
เพื่อรวบรวมสติให้ตั้งมั่น และให้จิตสว่างแจ่มใส ซึ่งเมื่อฝึกหัดจนคุ้นเคยชำนาญแล้ว จะกระทำได้คล่องแคล่ว
ช่วยให้สามารถแสดงความรู้ ความคิด ในเรื่องต่างๆ ให้ผู้ฟังเข้าใจได้ง่าย ได้ชัด ไม่ผิดทั้งหลักวิชาทั้งหลักคุณธรรม
………........…
ความจริงใจต่อผู้อื่นเป็นคุณธรรมสำคัญมาก
สำหรับผู้ที่ต้องการความสำเร็จและความเจริญ
เพราะช่วยให้สามารถขจัดปัดเป่าปัญหาได้มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ปัญหาอันเกิดจากความกินแหนงแคลงใจและเอารัดเอาเปรียบกัน....นอกจากนั้น
ยังทำให้ได้รับความเชื่อถือไว้วางใจ และความร่วมมือสนับสนุนจากทุกคนทุกฝ่าย
ที่ถือมั่นในเหตุผลและความดี ผู้มีความจริงใจจะทำการสิ่งใดก็มักสำเร็จได้โดยราบรื่น

พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว..


ในการปฏิบัติงานนั้น ย่อมมีปัญหาต่างๆเกิดขึ้นได้เสมอ เมื่อปัญหาเกิดขึ้นต้องแก้ไข อย่าทิ้งไว้พอกพูนลุกลามจนแก้ยาก ขอให้ทุกคนระลึกว่าปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ไขได้ ถ้าแก้คนเดียวไม่ได้ก็ช่วยกันคิดช่วยกันแก้หลายๆคนหลายๆทาง ด้วยความร่วมมือปรองดองกัน
พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
(ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย13 กรกฎาคม 2533)
การทำงานใหญ่ๆ ทุกอย่างต้องการเวลามากกว่าจะทำสำเร็จ ผู้ที่เริ่มโครงการอาจไม่ทันทำให้สำเร็จโดยตลอดด้วยตนเองก็ได้ ต้องมีผู้อื่นรับทำต่อไป ดังนั้นไม่ควรยกเอาเรื่องใครเป็นผู้ริเริ่มงาน ใครเป็นผู้รับช่วงงาน ขึ้นเป็นข้อสำคัญนัก จะต้องถือผลสำเร็จที่จะเกิดจากงานเป็นใหญ่
พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
(ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยศิลปากร14 ตุลาคม 2514)
การจะทำงานให้มีประสิทธิผลและให้ดำเนินไปได้โดยราบรื่น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำด้วยความรับผิดชอบอย่างสูง ไม่บิดเบือนข้อเท็จจริง ไม่บิดเบือนจุดประสงค์ที่แท้จริงของงานสำคัญที่สุดต้องเข้าใจความหมายของคำว่า ความรับผิดชอบ ให้ถูกต้อง
พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
(ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์16 กรกฎาคม 2519)

สายตากับคอมพิวเตอร์

การใช้ Computerใน ปัจจุบันมีส่วนเกี่ยวข้องกับมนุษย์ค่อนข้างมาก เพราะคอมพิวเตอร์เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกที่เราคนทำงานจะหลีกเลี่ยงไม่ใช้ไม่ได้เสียแล้ว ปัญหาเรื่องการปวดตา เป็นปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่งในหมู่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทำงาน มีงานวิจัยพบว่า ผู้หญิงเป็นมากกว่าผู้ชายถึง2 เท่า และสามารถเกิดได้ทุกวัย สำหรับสาเหตุนั้นส่วนใหญ่เกิดจากการที่ตาไม่สามารถปรับโฟกัสได้อย่างแม่นยำ อันเนื่องมาจากการที่อักษรบนคอมพิวเตอร์เกิดจากการผสมจากจุดเล็กๆ (pixel)ทำให้ตาเกิดอาการเมื่อยล้าได้เร็วกว่าการมองวัตถุอย่างอื่น ปัจจุบันมีการผลิตแว่นตาชนิดพิเศษสำหรับการใช้หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อตาไม่ต้องทำงานมากนัก แว่นตาเหล่านี้ควรเคลือบสารเพื่อป้องกันแสงสะท้อน รวมทั้งมี UV400ฟิลเตอร์ด้วย โดยเฉลี่ยแล้วหนุ่มสาวจะต้องนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ประมาณ 10ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคอื่นได้ เช่น โรคมะเร็ง ปวดหลัง เท้าบวม เป็นต้น ดังนั้นเราควรทำการป้องกันไว้ก่อน เพื่อสุขภาพที่ดีของเรา
วิธีป้องกัน
1.นั่งในท่าที่เหมาะสมห่างจากจอ Computer ประมาณ 20 - 30นิ้ว
2. Screen Computerให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 20-26 องศา
3.จัด เอกสารที่ต้องใช้ดูประกอบไว้ใกล้กับจอเครื่องคอมพิวเตอร์ จะได้ลดการส่ายศีรษะไปมามาก และลดการเปลี่ยนระยะการดูของตา ไม่ให้ระยะต่างกันมาก
4.พักสายตาบ่อยๆ แนะนำให้พักสายตาอย่างน้อย 15-20 นาทีทุก 2 ชั่วโมง
5.จัดแสง และแสงสะท้อนจากจอให้ลดลงในระดับที่ตาเรารู้สึกสบาย
6.จอภาพ Computer ต้อง Focus ชัดเจน ตัวหนังสือ ภาพในจอให้ปรับให้ชัดเสมอ และควรปรับแสงของจอมอนิเตอร์ให้พอเหมาะ ใช้แผ่นกรองแสงช่วย หรือเลือกใช้จอแบน เพื่อลด
การหักเหของแสง
7.งานวิจัยพบว่า ผู้ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์จะกระพริบตาน้อยกว่าปกติ ดังนั้น คุณอาจจะต้องตั้งใจกระพริบตาให้ถี่ขึ้น เพื่อช่วยให้ตาชุ่มชื้นขึ้น หรือใช้น้ำตาเทียมหยดเป็นครั้งคราว
8.ทุก 15 นาที ของการทำงาน อาจเหลือบไปมองสิ่งอื่นๆ บ้าง โดยมองไปไกลๆ การมองที่ อื่นๆ ช่วยเรื่องการปรับโฟกัส และช่วยให้ กระพริบตาทำให้ตาชุ่มชื้นขึ้น
9.ผู้ที่มีอายุเกิน 40 และจำเป็นต้องใช้แว่นอ่านหนังสือ ควรใช้แว่นอ่านหนังสือกำลังที่ เหมาะสม และไม่ควรใช้แว่น 2ชั้น หรือแว่นไม่มีชั้น จะทำให้ต้องเงยหน้าอ่านข้อความในจอ
computer.2.bmp ตลอดเป็นเหตุให้ปวดต้นคอ
10.ตั้งคอมพิวเตอร์ในที่อากาศถ่ายเทสะดวก อย่าให้มีฝุ่นเกาะจอ และควรทำความสะอาดเสมอ
11.นำต้นกระบองเพชรเล็ก ๆ มาวางข้างคอมพิวเตอร์จะช่วยดูดซับคลื่นแม่เหล็กได้
12.ควรเปลี่ยนอิริยาบถ หรือลุกเดินบ้างเพื่อช่วยให้เลือดหมุนเวียนได้ดีขึ้น

ภาษีเงินได้ ปีภาษี 2556 (ยื่นในปี 2557)

มติ ครม. (18 ธ.ค.55) เห็นชอบ มาตรการปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาฯ
ตามข้อเสนอ ก.คลังฯ

1) ปรับปรุงบัญชีอัตรา ภงด. บุคคลธรรมดา เป็น 7 ขั้น (จากเดิม 5 ขั้น)
1.1 ผู้มีเงินได้สุทธิ 0-300,000 บาท เสียในอัตรา 5% (แต่ยังคงได้รับการยกเว้นภาษีในส่วน 150,000 บาทแรก)
1.2 ผู้มีเงินได้สุทธิ 300,001-500,000 บาท เสียในอัตรา 10%
1.3 ผู้มีเงินได้สุทธิ 500,001-750,000 บาท เสียในอัตรา 15%
1.4 ผู้มีเงินได้สุทธิ 750,001-1,000,000 บาท เสียในอัตรา 20%
1.5 ผู้มีเงินได้สุทธิ 1,000,001-2,000,000 บาท เสียในอัตรา 25%
1.6 ผู้มีเงินได้สุทธิ 2,000,001-4,000,000 บาท เสียในอัตรา 30%
1.7 ผู้มีเงินได้สุทธิ 4,000,001 บาท ขึ้นไป เสียในอัตรา 35%
(ดูตารางแนบฯ)

2.ปรับวิธีการคำนวณภาษีสำหรับ "คณะบุคคลฯ"
ให้เสียภาษีจาก "เงินได้พึงประเมิน" ก่อนหักรายจ่าย ในอัตรา 20%
(จากเดิม เสียภาษีฯ ตามอัตราเงินได้บุคคลธรรมดา)

3.ปรับวิธีการคำนวณภาษีสำหรับ "ห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล"
ให้เสียภาษีจาก "เงินได้สุทธิ" ในอัตราร้อยละ 20

ดู...
http://www.ryt9.com/s/tpd/1552521
http://tax.bugnoms.com/journal/discount-pit-tax-rate-2013/

“โรคออฟฟิศสิง”

เคยทราบกันหรือไม่ว่า ออฟฟิศ หรือสถานที่ที่เรานั่งทำงานกันวันละ 8ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย นอกจากจะเป็นสถานที่ที่เชื่อกันว่ามอบความมั่นคงในชีวิตแล้ว ออฟฟิศ หรือสถานที่ทำงานที่คนหนุ่มคนสาวหายเข้าไปตอนเช้าตรู่ กรูกันออกมาตอนพักเที่ยง และกลับบ้านตอนเย็น นั่นคือแหล่งสะสมโรคทั้งสิ้น.......
โรคออฟฟิศสิง ตามมาดูข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้ด้วยกันครับ.........
http://board.postjung.com/data/682/682481-topic-ix-0.gif 1.โรคผมร่วง อย่าเพิ่งขำเชียวว่า ออฟฟิศทำให้ผมร่วง เพราะนี่ไม่ได้เป็นการขู่ให้ใครกลัว แต่รู้เถอะว่านอกจากอาการเครียดเป็นสาเหตุหลักทำให้เส้นผมร่วงมากกว่า30 เส้นต่อวันแล้ว หนุ่มสาวออฟฟิศที่ได้รับแสงอาทิตย์ไม่เพียงพอ ก็เป็นสาเหตุทำให้ผมร่วงเช่นกัน เพราะแสงแดดในยามเช้าช่วยให้เราสังเคราะห์วิตามินเคที่จำเป็นต่อร่างกาย รวมถึงหนังศีรษะด้วย
2.ปวดหัว,ไมเกรน สาเหตุก็คงทราบกันแล้วว่า อาการปวดหัว หรือไมเกรน เกิดจากความเครียด แต่สาเหตุอีกประการที่น่าสนใจคือ การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ กาเฟอีน(กาแฟ น้ำอัดลม ยาชูกำลัง) อาหารไขมันสูง อาหารประเภทเนื้อสัตว์90% เป็นอาหารหลัก แม้ว่าอาการอัลไซเมอร์จะเป็นอาการสมองเสื่อมโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่สาเหตุหลักๆ ของอาการสมองเสื่อมอื่นๆ ก็คือ การรับประทานอาหารดังกล่าว อีกสาเหตุหนึ่งที่น่าสนใจคือการขาดการออกกำลังกายสม่ำเสมอ โดยปรกติเราต้องออกกำลังกายประมาณ10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เป็นอย่างน้อย แต่มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่มักอ้างว่าไม่มีเวลาออกกำลังกาย
3.ปวดตา น้ำตาแห้ง การนั่งหน้าจอเกินวันละ6 ชั่วโมง และการเพ่งอยู่หน้าจอในที่มืดรวมทั้งการขาดวิตามินเอ และบี ถ้าไม่อยากให้น้ำตาแห้งก็ควรหาโอกาสออกไปมองฟ้าบ้าง
4.ไซนัส ดูเหมือนโรคเป็นหวัด คัดจมูก ภูมิแพ้ จะกลายเป็นโรคประจำของหนุ่มสาวออฟฟิศไปซะแล้ว ก็วันๆ นั่งอยู่แต่ในห้องปรับอากาศ ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าพนักงานแอร์มาทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศครั้งสุดท้ายตั้งแต่เมื่อไหร่ ทางที่ดีควรหาเวลาออกไปสูดอากาศข้างนอกบ้าง ปอดจะได้ไม่พังก่อนเวลาอันควร
5.ปากเหม็น นอกจากอาหารพวกกาแฟ แอลกอฮอล์ ความเครียด ยังเป็นพาหะเร่งให้แบคทีเรียทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้ดีที่สุด ถ้าไม่อยากถูกตราหน้าว่าเป็นคนปากเหม็นก็ต้องพูดให้มากขึ้น น้ำลายจะได้ไม่บูด
6.ปวดคอ,ปวดไหล่ ปวดข้อ ปวดนิ้ว โดยมากเกิดจากอาการนั่งทำงานผิดท่า นั่งเก้าอี้โต๊ะที่ไม่รองรับต่อการทำงาน แต่ท่านรู้หรือไม่ว่า แม้ท่านจะนั่งถูกท่าแล้ว แต่หากนั่งเป็นเวลานานๆ ไม่มีการเปลี่ยนอิริยาบถซะบ้าง อาการปวดคอ ปวดไหล่ ก็ถามหาเช่นกัน
7.โรคอ้วน ทุกวันเรากินอาหารอย่างน้อย3 มื้อ มีพลังงานมากมายเข้าสู่ร่างกาย แต่ถูกเผาผลาญไปน้อยนิดก็ต้องอ้วนเป็นธรรมดา ถ้าไม่อยากให้ออฟฟิศเป็นสถานที่เพาะน้ำหนักแล้วละก็ อาหารประเภทแฮมเบอร์เกอร์ น้ำอัดลม พิซซ่า ที่คุณทำไปกินไปน่ะเลิกซะ
8.โรคกระเพาะ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งโรคฮิตของหนุ่มสาวออฟฟิศ เพราะนอกจากการกินอาหารไม่เป็นเวลาจะเป็นสาเหตุใหญ่ รู้หรือไม่ว่าการกินอาหารแบบเร่งรีบ ยังส่งผลให้กระเพาะ และระบบขับถ่ายทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพด้วย
9.ริดสีดวง การนั่งนานๆ จะทำให้เกิดการกดทับของเส้นเลือดดำบริเวณปลายลำไส้ และเกิดอาการเลือดคั่ง บวม ยิ่งน้ำหนักมาก ก็จะยิ่งเร่งให้เป็นโรคนี้เร็วขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นนอกจากจะต้องควบคุมน้ำหนักตัวแล้ว ควรอย่างยิ่งที่หนุ่มสาวออฟฟิศจะต้องลุกเดินไปทักเพื่อนร่วมงานบ้าง ว่าแต่อย่าไปเมาท์นานจนเจ้านายตาเขียวเชียว เดี๋ยวจะกลายเป็นโรคตกงานแทนโรคออฟฟิศไม่รู้ด้วยนะ!!
10.ภาวะหัวใจล้มเหลว(หรือที่เรียก เป็นภาษาอังกฤษว่า ฮาร์ท-เฟล-เลีย, Heart failure)นั้นเป็นภาวะที่หัวใจมีความอ่อนแรงและไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย
ได้ตามที่ต้องการทำไมหัวใจจึงทำงานได้ล้มเหลว ภาวะหัวใจล้มเหลวสามารถเกิดได้จากสภาวะทางโรคหัวใจหลายชนิด ซึ่งได้แก่ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรือขาดเลือด โรคความดัน
โลหิตสูง โรคลิ้นหัวใจ โรคของกล้ามเนื้อหัวใจเองซึ่งภาษาอังกฤษเรียกว่า คาร์-ดิ-โอ-ไม-ออป-พาตี้(cardiomyopathy) โรคการอักเสบและการติดเชื้อของกล้ามเนื้อหัวใจหรือของ
ลิ้นหัวใจ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด หัวใจเต้นผิดจังหวะ การได้รับสารพิษต่างๆ เช่น ยาบ้า การดื่มสุราและแอลกอฮอล์
· จะมีอาการอย่างไร
· เหนื่อยง่ายหรือไอเมื่ออกแรงหรือออกกำลังหรือขณะพักหายใจลำบาก แน่น หรือหายใจเหนื่อยหอบเมื่อนอนราบ และอาการอาจดีขึ้น
· เมื่อลุกขึ้นนั่ง ตื่นขึ้นมาเมื่อนอนหลับไปแล้วเพราะเหนื่อย เพลียไม่มีแรง เหนื่อยง่ายหน้าแข้งหรือข้อเท้าบวมแน่นในท้องเหมือนมีน้ำในท้อง
· น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นจากการคั่งของน้ำ (ไม่ ได้รับประทานอาหารมากขึ้น)
· การรักษาภาวะหัวใจล้มเหลว
การรักษาภาวะหัวใจล้มเหลวที่ประสบความสำเร็จต้องอาศัยความร่วมมือที่ดีระหว่างทีมแพทย์และพยาบาลกับผู้ป่วย ปัจจุบันมีการรักษามากมายขึ้นกับความเหมาะสมของสภาวะของผู้ป่วยในแต่ละรายไป การรักษาดังกล่าวได้แก่ การรักษาด้วยยา การใส่เครื่องกระตุ้น CRTการใส่เครื่องป้องกันกระแสไฟฟ้าลัดวงจร หรือการปลูกถ่ายหัวใจ เป็นต้น
ผู้ป่วยสามารถรักษาตัวเองได้อย่างไร
1. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประจำวัน และ รับประทานยาตามที่แพทย์และพยาบาลสั่งอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งการปฏิบัติตัวดังกล่าวจะส่งผลคุณจะรู้สึกมีอาการที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
2. คุณจะต้องสังเกตอาการตนเองอย่างใกล้ชิดว่าคุณมีอาการผิดปกติซึ่งต้องรายงานให้แพทย์หรือพยาบาลทราบหรือไม่
3. คุณจะต้องมาติดตามการรักษาตามที่แพทย์นัดทุกครั้งเพื่อให้แพทย์ได้ประเมิน ปรับเปลี่ยนยา และวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
ปรับตัวอย่างไรเพื่อให้รู้สึกสบายและอยู่กับโรคหัวใจล้มเหลวนี้ได้
· ชั่งน้ำหนักตัวทุกวัน !คุณต้องชั่งน้ำหนักตัวเองกับเครื่องชั่งเครื่องเดียวกันเป็นประจำทุกเช้าหลังจากคุณถ่ายปัสสาวะในยามเช้า
· (แต่ควรชั่งน้ำหนักก่อนรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำในยามเช้า) จดบันทึกน้ำหนักตัวคุณในสมุดบันทึกน้ำหนักตัวซึ่งทางheart failure clinic
· ได้จัดให้ หากคุณมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น มากกว่าหรือเท่ากับ1.5กิโลกรัม ภายในเวลา 2 วัน จะหมายความว่าคุณมีสารน้ำคั่งอยู่ในร่างกายมากกว่า ปกติ ซึ่งหากคุณมีน้ำหนักเกินกำหนดดังกล่าวคุณควรโทรหาพยาบาล ประจำคลินิกภาวะหัวใจล้มเหลวหรือปรึกษาแพทย์……………..
· ตัดใจจากความเค็ม !การกินเค็มหรือเกลือ (หรือที่เรียกว่าโซเดียม) จะทำให้ร่างกายมีภาวะคั่งของสารน้ำ เนื่องจากสัดส่วนน้ำจะแปลผันตรงกับสัดส่วนเกลือ การคั่งของน้ำและเกลือจะทำให้หัวใจของคุณทำงานหนักขึ้นและหนักเกินไป ยังส่งผลให้หัวใจอ่อนแอลง ให้ทำตามคำแนะนำเรื่องเกลือและความเค็มของอาหารตามเอกสารให้ความรู้และการแนะนำจากพยาบาลคลินิกหัวใจล้มเหลว โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวจะอนุญาตให้รับประทานเกลือได้ไม่เกิน1.5ถึง 2 กรัม (หรือ 1500-2000 มิลลิกรัม) แนะนำให้คุณอ่านฉลาก ข้างผลิตภัณฑ์อาหาร และมองหาปริมาณ โซเดียม
· ยา !ผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลวส่วนใหญ่ต้องรักษาด้วยยา และมีผู้ป่วยจำนวนมากซึ่งต้องรับประทานยาหลายชนิด คุณจะต้องรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ ให้นำชื่อยาเป็นภาษาอังกฤษและขนาดของยาดังกล่าวที่รับประทานมาพบแพทย์หรือพยาบาลประจำคลินิกหัวใจล้มเหลวทุกครั้ง คุณควรทำความเข้าใจยาแต่ละชนิดว่าจำเป็นต่อคุณอย่างไร หากคุณมีอาการซึ่งเป็นผลข้างเคียงของยาควรรายงานอาการดังกล่าวให้แพทย์ทราบทันที ห้ามลืมรับประทานยาหรือจัดสรรยายามที่คุณต้องเดินทางไกลหรือท่องเที่ยวห้ามนำยาดังกล่าวใส่ในประเป๋าเพื่อ load ไปกับสายการบิน ให้พกติดตัวตลอดเวลา
· ห้ามดื่ม เครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ สุรา เครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้การบีบตัวของหัวใจจองคุณลดประสิทธิภาพ
· ห้ามสูบบุหรี่หากคุณยังตัดใจจากบุหรี่ไม่ได้ กรุณาติดต่อแพทย์และพยาบาลคลินิกหัวใจล้มเหลวเพื่อปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในการเลิกบุหรี่ บุหรี่จะทำให้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบ เพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับตัวเองถึงแม้จะเป็นโรคหัวใจล้มเหลว
· พักผ่อนหาเวลาผ่อนคลาย หางานอดิเรกซึ่งคุณมีความสุข การอ่านหนังสือ ฟังเพลง ดูโทรทัศน์ เย็บปักถักร้อย หรือการเรียนคอมพิวเตอร์ เป็นกิจกรรมซึ่งสามารถทำให้คุณมีความสุขเล็กๆน้อยๆได้·อนุญาตให้ลูกหลาน คนในครอบครัว หรือ เพื่อนช่วยคุณทำงานซึ่งต้องใช้กำลังมาก เช่น การทำสวน ซักผ้า ทำกับข้าวหรือทำงานบ้าน
· คุณจะต้องไม่ทำตนเองให้ตกอยู่ในความเครียด กังวลพยายามพักผ่อนและผ่อนคลาย
สัญญาณเตือน นอนโรงพยาบาลเพราะน้ำท่วมปอดหากมีอาการต่อไปนี้ให้โทรศัพท์ถึงพยาบาลประจำคลินิกผู้ป่วยหัวใจล้มเหลว หรือมาพบแพทย์น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า1.5กิโลกรัมภายในเวลา 2 วัน ข้อเท้าหน้าแข้ง บวมมากขึ้น เหนื่อยหอบเวลานอนราบ เหนื่อยหอบผิดปกติ เพลียมากผิดปกติ ปวดศีรษะ วิงเวียนจะเป็นลม รู้สึกกระสับกระส่ายไม่สบายตน คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร มีอาการผลข้างเคียงจากยาที่รับประทาน เจ็บ หรือ แน่นปบริเวณหน้าอก เมื่อออกแรง และอาการดีขึ้นเมื่อนั่งพัก หรืออมยาอมใต้ลิ้น อาการที่ควรไปพบแพทย์ที่ห้องฉุกเฉินโดยทันที แน่นหน้าอกเป็นอย่างมาก หายใจไม่ออก หอบเหนื่อยมาก เหงื่อออกมากผิดปกติโดยไม่มีสาเหตุ พูดไม่ชัด แขนขาอ่อนแรง หน้าเบี้ยวเป็นลมหมดสติ..
คุณต้องออกกำลังกายบ้าง(โดยไม่หักโหม) และ ไม่กิน-นั่ง-นอนกับเตียง! หัวใจของคุณจะได้รับประโยชน์อย่างมากจากการออกกำลังกายสม่ำเสมอ พยาบาลและแพทย์ประจำคลินิกภาวะหัวใจล้มเหลวสามารถให้คำแนะนำหรือส่งคุณปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกกำลัง
(Cardiac rehab)ได้อย่างถูกต้องและปลอดภัยมากขึ้น รู้กันอย่างนี้แล้ว.. ถ้าไม่อยากได้โรคทั้ง 10 เป็นของแถมจากออฟฟิศ ก็ลุกขึ้นมาใส่ใจสุขภาพตัวเองกันได้แล้ว เพื่อคนที่คุณรักและคนที่รักคุณ

“โรคออฟฟิศสิง”

เคยทราบกันหรือไม่ว่า ออฟฟิศ หรือสถานที่ที่เรานั่งทำงานกันวันละ 8ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย นอกจากจะเป็นสถานที่ที่เชื่อกันว่ามอบความมั่นคงในชีวิตแล้ว ออฟฟิศ หรือสถานที่ทำงานที่คนหนุ่มคนสาวหายเข้าไปตอนเช้าตรู่ กรูกันออกมาตอนพักเที่ยง และกลับบ้านตอนเย็น นั่นคือแหล่งสะสมโรคทั้งสิ้น.......
โรคออฟฟิศสิง ตามมาดูข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้ด้วยกันครับ.........
http://board.postjung.com/data/682/682481-topic-ix-0.gif 1.โรคผมร่วง อย่าเพิ่งขำเชียวว่า ออฟฟิศทำให้ผมร่วง เพราะนี่ไม่ได้เป็นการขู่ให้ใครกลัว แต่รู้เถอะว่านอกจากอาการเครียดเป็นสาเหตุหลักทำให้เส้นผมร่วงมากกว่า30 เส้นต่อวันแล้ว หนุ่มสาวออฟฟิศที่ได้รับแสงอาทิตย์ไม่เพียงพอ ก็เป็นสาเหตุทำให้ผมร่วงเช่นกัน เพราะแสงแดดในยามเช้าช่วยให้เราสังเคราะห์วิตามินเคที่จำเป็นต่อร่างกาย รวมถึงหนังศีรษะด้วย
2.ปวดหัว,ไมเกรน สาเหตุก็คงทราบกันแล้วว่า อาการปวดหัว หรือไมเกรน เกิดจากความเครียด แต่สาเหตุอีกประการที่น่าสนใจคือ การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ กาเฟอีน(กาแฟ น้ำอัดลม ยาชูกำลัง) อาหารไขมันสูง อาหารประเภทเนื้อสัตว์90% เป็นอาหารหลัก แม้ว่าอาการอัลไซเมอร์จะเป็นอาการสมองเสื่อมโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่สาเหตุหลักๆ ของอาการสมองเสื่อมอื่นๆ ก็คือ การรับประทานอาหารดังกล่าว อีกสาเหตุหนึ่งที่น่าสนใจคือการขาดการออกกำลังกายสม่ำเสมอ โดยปรกติเราต้องออกกำลังกายประมาณ10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เป็นอย่างน้อย แต่มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่มักอ้างว่าไม่มีเวลาออกกำลังกาย
3.ปวดตา น้ำตาแห้ง การนั่งหน้าจอเกินวันละ6 ชั่วโมง และการเพ่งอยู่หน้าจอในที่มืดรวมทั้งการขาดวิตามินเอ และบี ถ้าไม่อยากให้น้ำตาแห้งก็ควรหาโอกาสออกไปมองฟ้าบ้าง
4.ไซนัส ดูเหมือนโรคเป็นหวัด คัดจมูก ภูมิแพ้ จะกลายเป็นโรคประจำของหนุ่มสาวออฟฟิศไปซะแล้ว ก็วันๆ นั่งอยู่แต่ในห้องปรับอากาศ ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าพนักงานแอร์มาทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศครั้งสุดท้ายตั้งแต่เมื่อไหร่ ทางที่ดีควรหาเวลาออกไปสูดอากาศข้างนอกบ้าง ปอดจะได้ไม่พังก่อนเวลาอันควร
5.ปากเหม็น นอกจากอาหารพวกกาแฟ แอลกอฮอล์ ความเครียด ยังเป็นพาหะเร่งให้แบคทีเรียทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้ดีที่สุด ถ้าไม่อยากถูกตราหน้าว่าเป็นคนปากเหม็นก็ต้องพูดให้มากขึ้น น้ำลายจะได้ไม่บูด
6.ปวดคอ,ปวดไหล่ ปวดข้อ ปวดนิ้ว โดยมากเกิดจากอาการนั่งทำงานผิดท่า นั่งเก้าอี้โต๊ะที่ไม่รองรับต่อการทำงาน แต่ท่านรู้หรือไม่ว่า แม้ท่านจะนั่งถูกท่าแล้ว แต่หากนั่งเป็นเวลานานๆ ไม่มีการเปลี่ยนอิริยาบถซะบ้าง อาการปวดคอ ปวดไหล่ ก็ถามหาเช่นกัน
7.โรคอ้วน ทุกวันเรากินอาหารอย่างน้อย3 มื้อ มีพลังงานมากมายเข้าสู่ร่างกาย แต่ถูกเผาผลาญไปน้อยนิดก็ต้องอ้วนเป็นธรรมดา ถ้าไม่อยากให้ออฟฟิศเป็นสถานที่เพาะน้ำหนักแล้วละก็ อาหารประเภทแฮมเบอร์เกอร์ น้ำอัดลม พิซซ่า ที่คุณทำไปกินไปน่ะเลิกซะ
8.โรคกระเพาะ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งโรคฮิตของหนุ่มสาวออฟฟิศ เพราะนอกจากการกินอาหารไม่เป็นเวลาจะเป็นสาเหตุใหญ่ รู้หรือไม่ว่าการกินอาหารแบบเร่งรีบ ยังส่งผลให้กระเพาะ และระบบขับถ่ายทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพด้วย
9.ริดสีดวง การนั่งนานๆ จะทำให้เกิดการกดทับของเส้นเลือดดำบริเวณปลายลำไส้ และเกิดอาการเลือดคั่ง บวม ยิ่งน้ำหนักมาก ก็จะยิ่งเร่งให้เป็นโรคนี้เร็วขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นนอกจากจะต้องควบคุมน้ำหนักตัวแล้ว ควรอย่างยิ่งที่หนุ่มสาวออฟฟิศจะต้องลุกเดินไปทักเพื่อนร่วมงานบ้าง ว่าแต่อย่าไปเมาท์นานจนเจ้านายตาเขียวเชียว เดี๋ยวจะกลายเป็นโรคตกงานแทนโรคออฟฟิศไม่รู้ด้วยนะ!!
10.ภาวะหัวใจล้มเหลว(หรือที่เรียก เป็นภาษาอังกฤษว่า ฮาร์ท-เฟล-เลีย, Heart failure)นั้นเป็นภาวะที่หัวใจมีความอ่อนแรงและไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย
ได้ตามที่ต้องการทำไมหัวใจจึงทำงานได้ล้มเหลว ภาวะหัวใจล้มเหลวสามารถเกิดได้จากสภาวะทางโรคหัวใจหลายชนิด ซึ่งได้แก่ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรือขาดเลือด โรคความดัน
โลหิตสูง โรคลิ้นหัวใจ โรคของกล้ามเนื้อหัวใจเองซึ่งภาษาอังกฤษเรียกว่า คาร์-ดิ-โอ-ไม-ออป-พาตี้(cardiomyopathy) โรคการอักเสบและการติดเชื้อของกล้ามเนื้อหัวใจหรือของ
ลิ้นหัวใจ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด หัวใจเต้นผิดจังหวะ การได้รับสารพิษต่างๆ เช่น ยาบ้า การดื่มสุราและแอลกอฮอล์
· จะมีอาการอย่างไร
· เหนื่อยง่ายหรือไอเมื่ออกแรงหรือออกกำลังหรือขณะพักหายใจลำบาก แน่น หรือหายใจเหนื่อยหอบเมื่อนอนราบ และอาการอาจดีขึ้น
· เมื่อลุกขึ้นนั่ง ตื่นขึ้นมาเมื่อนอนหลับไปแล้วเพราะเหนื่อย เพลียไม่มีแรง เหนื่อยง่ายหน้าแข้งหรือข้อเท้าบวมแน่นในท้องเหมือนมีน้ำในท้อง
· น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นจากการคั่งของน้ำ (ไม่ ได้รับประทานอาหารมากขึ้น)
· การรักษาภาวะหัวใจล้มเหลว
การรักษาภาวะหัวใจล้มเหลวที่ประสบความสำเร็จต้องอาศัยความร่วมมือที่ดีระหว่างทีมแพทย์และพยาบาลกับผู้ป่วย ปัจจุบันมีการรักษามากมายขึ้นกับความเหมาะสมของสภาวะของผู้ป่วยในแต่ละรายไป การรักษาดังกล่าวได้แก่ การรักษาด้วยยา การใส่เครื่องกระตุ้น CRTการใส่เครื่องป้องกันกระแสไฟฟ้าลัดวงจร หรือการปลูกถ่ายหัวใจ เป็นต้น
ผู้ป่วยสามารถรักษาตัวเองได้อย่างไร
1. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประจำวัน และ รับประทานยาตามที่แพทย์และพยาบาลสั่งอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งการปฏิบัติตัวดังกล่าวจะส่งผลคุณจะรู้สึกมีอาการที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
2. คุณจะต้องสังเกตอาการตนเองอย่างใกล้ชิดว่าคุณมีอาการผิดปกติซึ่งต้องรายงานให้แพทย์หรือพยาบาลทราบหรือไม่
3. คุณจะต้องมาติดตามการรักษาตามที่แพทย์นัดทุกครั้งเพื่อให้แพทย์ได้ประเมิน ปรับเปลี่ยนยา และวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
ปรับตัวอย่างไรเพื่อให้รู้สึกสบายและอยู่กับโรคหัวใจล้มเหลวนี้ได้
· ชั่งน้ำหนักตัวทุกวัน !คุณต้องชั่งน้ำหนักตัวเองกับเครื่องชั่งเครื่องเดียวกันเป็นประจำทุกเช้าหลังจากคุณถ่ายปัสสาวะในยามเช้า
· (แต่ควรชั่งน้ำหนักก่อนรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำในยามเช้า) จดบันทึกน้ำหนักตัวคุณในสมุดบันทึกน้ำหนักตัวซึ่งทางheart failure clinic
· ได้จัดให้ หากคุณมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น มากกว่าหรือเท่ากับ1.5กิโลกรัม ภายในเวลา 2 วัน จะหมายความว่าคุณมีสารน้ำคั่งอยู่ในร่างกายมากกว่า ปกติ ซึ่งหากคุณมีน้ำหนักเกินกำหนดดังกล่าวคุณควรโทรหาพยาบาล ประจำคลินิกภาวะหัวใจล้มเหลวหรือปรึกษาแพทย์……………..
· ตัดใจจากความเค็ม !การกินเค็มหรือเกลือ (หรือที่เรียกว่าโซเดียม) จะทำให้ร่างกายมีภาวะคั่งของสารน้ำ เนื่องจากสัดส่วนน้ำจะแปลผันตรงกับสัดส่วนเกลือ การคั่งของน้ำและเกลือจะทำให้หัวใจของคุณทำงานหนักขึ้นและหนักเกินไป ยังส่งผลให้หัวใจอ่อนแอลง ให้ทำตามคำแนะนำเรื่องเกลือและความเค็มของอาหารตามเอกสารให้ความรู้และการแนะนำจากพยาบาลคลินิกหัวใจล้มเหลว โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวจะอนุญาตให้รับประทานเกลือได้ไม่เกิน1.5ถึง 2 กรัม (หรือ 1500-2000 มิลลิกรัม) แนะนำให้คุณอ่านฉลาก ข้างผลิตภัณฑ์อาหาร และมองหาปริมาณ โซเดียม
· ยา !ผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลวส่วนใหญ่ต้องรักษาด้วยยา และมีผู้ป่วยจำนวนมากซึ่งต้องรับประทานยาหลายชนิด คุณจะต้องรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ ให้นำชื่อยาเป็นภาษาอังกฤษและขนาดของยาดังกล่าวที่รับประทานมาพบแพทย์หรือพยาบาลประจำคลินิกหัวใจล้มเหลวทุกครั้ง คุณควรทำความเข้าใจยาแต่ละชนิดว่าจำเป็นต่อคุณอย่างไร หากคุณมีอาการซึ่งเป็นผลข้างเคียงของยาควรรายงานอาการดังกล่าวให้แพทย์ทราบทันที ห้ามลืมรับประทานยาหรือจัดสรรยายามที่คุณต้องเดินทางไกลหรือท่องเที่ยวห้ามนำยาดังกล่าวใส่ในประเป๋าเพื่อ load ไปกับสายการบิน ให้พกติดตัวตลอดเวลา
· ห้ามดื่ม เครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ สุรา เครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้การบีบตัวของหัวใจจองคุณลดประสิทธิภาพ
· ห้ามสูบบุหรี่หากคุณยังตัดใจจากบุหรี่ไม่ได้ กรุณาติดต่อแพทย์และพยาบาลคลินิกหัวใจล้มเหลวเพื่อปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในการเลิกบุหรี่ บุหรี่จะทำให้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบ เพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับตัวเองถึงแม้จะเป็นโรคหัวใจล้มเหลว
· พักผ่อนหาเวลาผ่อนคลาย หางานอดิเรกซึ่งคุณมีความสุข การอ่านหนังสือ ฟังเพลง ดูโทรทัศน์ เย็บปักถักร้อย หรือการเรียนคอมพิวเตอร์ เป็นกิจกรรมซึ่งสามารถทำให้คุณมีความสุขเล็กๆน้อยๆได้·อนุญาตให้ลูกหลาน คนในครอบครัว หรือ เพื่อนช่วยคุณทำงานซึ่งต้องใช้กำลังมาก เช่น การทำสวน ซักผ้า ทำกับข้าวหรือทำงานบ้าน
· คุณจะต้องไม่ทำตนเองให้ตกอยู่ในความเครียด กังวลพยายามพักผ่อนและผ่อนคลาย
สัญญาณเตือน นอนโรงพยาบาลเพราะน้ำท่วมปอดหากมีอาการต่อไปนี้ให้โทรศัพท์ถึงพยาบาลประจำคลินิกผู้ป่วยหัวใจล้มเหลว หรือมาพบแพทย์น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า1.5กิโลกรัมภายในเวลา 2 วัน ข้อเท้าหน้าแข้ง บวมมากขึ้น เหนื่อยหอบเวลานอนราบ เหนื่อยหอบผิดปกติ เพลียมากผิดปกติ ปวดศีรษะ วิงเวียนจะเป็นลม รู้สึกกระสับกระส่ายไม่สบายตน คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร มีอาการผลข้างเคียงจากยาที่รับประทาน เจ็บ หรือ แน่นปบริเวณหน้าอก เมื่อออกแรง และอาการดีขึ้นเมื่อนั่งพัก หรืออมยาอมใต้ลิ้น อาการที่ควรไปพบแพทย์ที่ห้องฉุกเฉินโดยทันที แน่นหน้าอกเป็นอย่างมาก หายใจไม่ออก หอบเหนื่อยมาก เหงื่อออกมากผิดปกติโดยไม่มีสาเหตุ พูดไม่ชัด แขนขาอ่อนแรง หน้าเบี้ยวเป็นลมหมดสติ..
คุณต้องออกกำลังกายบ้าง(โดยไม่หักโหม) และ ไม่กิน-นั่ง-นอนกับเตียง! หัวใจของคุณจะได้รับประโยชน์อย่างมากจากการออกกำลังกายสม่ำเสมอ พยาบาลและแพทย์ประจำคลินิกภาวะหัวใจล้มเหลวสามารถให้คำแนะนำหรือส่งคุณปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกกำลัง
(Cardiac rehab)ได้อย่างถูกต้องและปลอดภัยมากขึ้น รู้กันอย่างนี้แล้ว.. ถ้าไม่อยากได้โรคทั้ง 10 เป็นของแถมจากออฟฟิศ ก็ลุกขึ้นมาใส่ใจสุขภาพตัวเองกันได้แล้ว เพื่อคนที่คุณรักและคนที่รักคุณ