การวัดเอ็นไซม์ตับแบ่งได้เป็น
2
กลุ่ม
กลุ่มแรก เป็นดัชนีชี้ว่ามีภยันตรายเกิดขึ้นต่อเซลล์ตับ เช่น ภาวะตับอักเสบ ได้แก่การวัดระดับเอ็นซัยม์ ALT(ย่อมาจาก alanine aminotransferase) และ AST (ย่อมาจาก aspartate aminotransferase) ซึ่งเดิมเรียกกันใช้ชื่อว่า SGPT (Serum Glutamic Pyruvate Transferase) และ SGOT (Serum Glutamic Oxaloacetic Transferase) เอ็นซัยม์ 2 ตัวนี้จะมีระดับสูงขึ้นเมื่อเซลล์ตับถูกทำลายตายลง หรือเกิดการอักเสบของตับ(โดยเซลล์ตับไม่ตาย) เกิดการรั่วของเอ็นซัมย์ออกนอกเซลล์ตับเข้าสู่กระแสโลหิต สำหรับเอ็นซัมย์ AST หรือ SGOT ยังพบได้ในเซลล์ชนิดอื่น เช่น เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ เซลล์กล้ามเนื้อลายของร่างกาย ดังนั้นจึงอาจพบสูงขึ้นได้ในโรคที่ไม่เกี่ยวกับตับ เช่น โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายขาดเลือด เอ็นซัยม์ ALT จึงมีความจำเพาะต่อการบ่งว่าน่าจะเป็นโรคตับมากกว่า , ในภาวะตับเกิดภยันตรายเฉียบพลัน เช่น โรคตับอักเสบเฉียบพลันจากไวรัส ระดับ ALT และ AST จะสูงกว่าปกติเป็นร้อยหรืออาจสูงถึงพันหน่วยต่อลิตรได้ (ค่าปกติประมาณ 40 หน่วย/ลิตร) ในโรคตับอักเสบเรื้อรังหรือตับแข็ง ระดับเอ็นซัยม์ 2 ตัวนี้ไม่สูงมาก ประมาณ 2-3 เท่าของค่าปกติ และมักไม่สูงเกิน 100-300 หน่วย/ลิตร ระดับเอ็นซัยม์ 2 ตัวนี้ มีประโยชน์ในการติดตามผลการรักษาโรคตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัส ระดับเอ็นซัยม์ ALT และ AST อาจตรวจพบสูงกว่าปกติได้เล็กน้อย จากสาเหตุที่ไม่ใช่โรคตับ เช่น จากยาบางชนิด
กลุ่มแรก เป็นดัชนีชี้ว่ามีภยันตรายเกิดขึ้นต่อเซลล์ตับ เช่น ภาวะตับอักเสบ ได้แก่การวัดระดับเอ็นซัยม์ ALT(ย่อมาจาก alanine aminotransferase) และ AST (ย่อมาจาก aspartate aminotransferase) ซึ่งเดิมเรียกกันใช้ชื่อว่า SGPT (Serum Glutamic Pyruvate Transferase) และ SGOT (Serum Glutamic Oxaloacetic Transferase) เอ็นซัยม์ 2 ตัวนี้จะมีระดับสูงขึ้นเมื่อเซลล์ตับถูกทำลายตายลง หรือเกิดการอักเสบของตับ(โดยเซลล์ตับไม่ตาย) เกิดการรั่วของเอ็นซัมย์ออกนอกเซลล์ตับเข้าสู่กระแสโลหิต สำหรับเอ็นซัมย์ AST หรือ SGOT ยังพบได้ในเซลล์ชนิดอื่น เช่น เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ เซลล์กล้ามเนื้อลายของร่างกาย ดังนั้นจึงอาจพบสูงขึ้นได้ในโรคที่ไม่เกี่ยวกับตับ เช่น โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายขาดเลือด เอ็นซัยม์ ALT จึงมีความจำเพาะต่อการบ่งว่าน่าจะเป็นโรคตับมากกว่า , ในภาวะตับเกิดภยันตรายเฉียบพลัน เช่น โรคตับอักเสบเฉียบพลันจากไวรัส ระดับ ALT และ AST จะสูงกว่าปกติเป็นร้อยหรืออาจสูงถึงพันหน่วยต่อลิตรได้ (ค่าปกติประมาณ 40 หน่วย/ลิตร) ในโรคตับอักเสบเรื้อรังหรือตับแข็ง ระดับเอ็นซัยม์ 2 ตัวนี้ไม่สูงมาก ประมาณ 2-3 เท่าของค่าปกติ และมักไม่สูงเกิน 100-300 หน่วย/ลิตร ระดับเอ็นซัยม์ 2 ตัวนี้ มีประโยชน์ในการติดตามผลการรักษาโรคตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัส ระดับเอ็นซัยม์ ALT และ AST อาจตรวจพบสูงกว่าปกติได้เล็กน้อย จากสาเหตุที่ไม่ใช่โรคตับ เช่น จากยาบางชนิด
เอ็นซัยม์กลุ่มที่ 2
วัดการทำงานของระบบทางเดินน้ำดีว่ามีการอุดตันหรือไม่
ทั้งในระดับท่อน้ำดีใหญ่ในตับ และระดับท่อน้ำดีในตับเล็กๆในตับ ได้แก่
เอ็นซัยม์ alkaline phosphataseและ GGT(gamma glutamyl
transpeptidese) เอ็นซัยม์ 2
ตัวนี้จะสูงขึ้นในกรณีที่มีการอุดกั้นท่อน้ำดีใหญ่จากนิ่วหรือเนื้องอก
และการอุดกั้นการไหลของน้ำดีในทางเดินน้ำดีเล็กภายในตับจากยา หรือ
แอลกอฮอล์alkaline phosphatase ยังพบได้ในอวัยวะอื่น เช่น
กระดูก, รก และลำไส้ ดังนั้น GGT
เป็นการตรวจเสริมที่ช่วยยืนยันว่า ระดับ alkaline phosphatase
ที่สูงขึ้นมาจากโรคตับและทางเดินน้ำดี เพราะ
GGTจะไม่เพิ่มขึ้นในโรคของกระดูก รก และลำไส้ ถ้า GGT
สูงขึ้นเล็กน้อยหรือสูงปานกลาง โดยค่า alkaline phosphatase
ปกติ มักมีสาเหตุจากแอลกอฮอล์และยา
โดยที่ไม่มีภยันตรายเกิดขึ้นต่อเนื้อตับ
การตรวจเลือดดูหน้าที่ของตับอย่างอื่น ได้แก่ Billirubin บิลิรูบินเป็นสารสีเหลืองในน้ำดี ซึ่งเมื่อมีระดับสูงในเลือดจะไปย้อมติดที่ผิวหนังและตาขาว เรียกว่า เกิดดีซ่าน บิลิรูบินเกิดจากการสลายตัวของส่วนประกอบในเม็ดเลือดแดง ตับจะเก็บบิลิรูบินออกจากกระแสเลือด เวลาเลือดไหลผ่านตับและขับออกทางน้ำดี เมื่อเป็นโรคของตับหรือทางเดินน้ำดี หรือเม็ดเลือดแดงแตกทำลายจำนวนมาก ก็จะเป็นผลให้ระดับบิลิรูบินเพิ่มขึ้นสูงในเลือด ระดับบิลิรูบินในเลือดเป็นตัวบ่งถึงหน้าที่ของตับที่ดี เพราะแสดงถึงตับเสื่อมความสามรถในการขับออกกระแสเลือดและเปลี่ยนแปลงเพื่อขับออกสู่น้ำดี แต่ระดับบิลิรูบินเป็นการทดสอบที่ไม่จำเพาะบอกสาเหตุว่าน่าจะเกิดจากอะไรไม่ได้
การตรวจหน้าที่ตับที่นิยมใช้อีก
2
อย่างคือ ระดับอัลบูมินในเลือด และการวัดเวลาการแข็งตัวของเลือด
อัลบูมินเป็นโปรตีนสำคัญที่ตับสร้างขึ้น ดังนั้นถ้าระดับอัลบูมินลดลง
โดยที่ผู้ป่วยนั้นไม่ได้ขาดอาหาร ก็บ่งชี้ถึงสภาพหน้าที่ของตับที่เสื่อมลง
การวัดเวลาการแข็งตัวของเลือดนิยมเรียกกันว่า Prothrombin time
หรือเขียนย่อว่า PT
ส่วนใหญ่ส่วนประกอบที่ทำให้เลือดแข็งตัวเป็นโปรตีนที่สร้างโดยตับ
ผู้ป่วยโรคตับที่ตับเสื่อมสภาพ การทำหน้าที่สร้างโปรตีนเหล่านี้ลดลง
ทำให้เลือดที่ออกใช้เวลาแข็งตัวนานขึ้น โปรตีนเหล่านี้ส่วนใหญ่มีอายุสั้นเป็น
ชั่วโมงหรือเป็นวันเท่านั้น
ทำให้การตรวจนี้เป็นการดูหน้าที่ของตับที่เปลี่ยนแปลงจริงตามสภาพตับขณะนั้น
ต่างจากระดับอัลบูมินที่มีอายุ 1 เดือน ดังนั้นถ้าตับเสื่อมลง
จะยังไม่เห็นผลว่าอัลบูมิในเลือดลดลง จนกว่าเวลาจะผ่านไป 1 เดือน
อัลบูมินที่ตับสร้างไว้ก่อนเสื่อมถูกร่างกายทำลายหมดไปแล้วการทดสอบอื่นซึ่งไม่ได้ใช้ตรวจกันบ่อย
แต่ช่วยในการหาสาเหตุและยืนยันโรคตับ เช่น
การวัดระดับเหล็กในเลือดหรือระดับโปรตีนจับสะสมเหล็กที่เรียกว่า Ferritin
ในเลือด ช่วยยืนยันว่า
ผู้ป่วยเป็นโรคตับที่เกิดจากภาวะมีเหล็กสะสมเกินหรือไม่ ในโรค Wilson
ที่มีความผิดปกติโดยมีทองแดงสะสมในตับ
ใช้การตรวจวัดระดับโปรตีนจับทองแดงที่เรียกว่า ceruloplasmin ในเลือด
และวัดการขับถ่ายทองแดงจำนวนมากกว่าปกติในปัสสาวะ
ในโรคตับแข็งจากทางเดินน้ำดีชนิดปฐมภูมิ (primary biliary
cirrhosis)จะอาศัยการตรวจภูมิต่อไมโตคอนเดรียให้ผลบวก(antimitochondrial
antibody) ในโรคตับอักเสบที่เกิดจากภูมิคุ้มกันต่อตนเอง (autoimmune
hepatitis) อาศัยการตรวจพบภูมิต่อนิวเคลียสเซลล์ (antinuclear
antibody) หรือภูมิต่อกล้ามเนื้อเรียบ (anti smooth muscle antibody)
และระดับโปรตีนชนิดกลอบูลิน (globulin) สูงในเลือด
บางครั้งอาจต้องใช้การตรวจภูมิต่อไวรัสตับอักเสบในเลือดเพื่อให้การวินิจฉัยโรคตับอักเสบว่าเกิดจากไวรัสเอ
หรือบี หรือซี และดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น