วันจันทร์, กุมภาพันธ์ 28, 2554

ธรรมะเย็นใจ : สอนใจตัวเองก่อน

ธรรมะของพระอาจารย์มิตซูโอะ เควสโก


วัดสุนันทวนาราม บ้านท่าเตียน ตำบลไทรโยค อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี

จากหนังสือเหตุสมควรโกรธ....ไม่มีในโลก

ธรรมะเย็นใจ : สอนใจตัวเองก่อน

เมื่อเราเป็นผู้ใหญ่ เป็นครู เป็นพ่อแม่

มีลูกน้อง มีลูกศิษย์ มีลูก

สมมติว่าเราเป็นพ่อแม่มีลูก

เมื่อลูกทำผิดจริง ๆ แล้วเราโกรธ ใจร้อน อย่าเพิ่งสอนลูก

สอนใจตัวเองให้ระงับอารมณ์ร้อน ให้ใจเย็น ใจดี

มีเมตตาก่อน จนรู้สึกมั่นใจว่าใจเราพร้อมแล้ว

และดูว่าลูกพร้อมที่จะรับฟังไหม ถ้าเราพร้อม

แต่ลูกยังไม่พร้อม ก็ยังไม่ต้องพูด เพราะไม่เกิดประโยชน์

เราพร้อมที่จะสอน เขาพร้อมที่จะฟัง

จึงจะเกิดประโยชน์เป็นการสอน

ถ้าเราสังเกตุดู บางครั้งใจเรารู้สึกเหมือนอยากจะสอน

แต่ความเป็ฯจริงแล้วเราเพียงอยากระบายอารมณ์ของเรา

สิ่งที่เราพูดแม้เป็นเรื่องจริง แต่ก็แฝงด้วยความโกรธ

เพราะยังเป็นความใจร้อน มีตัณหา

ถ้าใจเราโกรธ พูดเหมือนกัน พูดคำเดียวกัน นั่นคือโกรธ

ถ้าใจเราดี ใจเขาดี คำพูดของเราเป็นประโยชน์ นั่นคือสอน

เมื่อเราอยู่ในสังคม สิ่งที่ต้องระวังคือ หากเห็นใครทำผิด

อย่ายึดมั่นถือมั่นในความรู้สึกและความคิดของตน

อย่ายินดี อย่ายินร้าย ใจเย็น ๆ ไว้ก่อน

พยายามอบรมใจตนเองว่า
ธรรมชาติของคนเรา มักจะมองข้ามความผิดของตนเอง

ชอบจับผิดแต่คนอื่น

มองเห็นความผิดของคนอื่นเหมือนภูเขา

เห็นความผิดตนเท่ารูเข็ม

ตดคนอื่นเหม็นเหลือทน

ตดตนเองเหม็นไม่เป็นไร

ปากคนอื่นเหม็นเหลือทน

ปากของตนเหม็นไม่รู้สึกอะไร

เรามักทุ่มใจ ไปอยู่ที่ความรู้สึกนึกคิดของตนเอง
อย่าเชื่อความรู้สึก อย่าเชื่ออารมณ์ อย่ายินดี ยินร้าย
พยายามรักษาใจเย็น ใจดี ใจกลาง ๆ

ปกติเราทำผิดเหมือนกัน เท่ากัน หรืออาจจะมากกว่าเขา

แต่ความรู้สึกของเรามักจะมากกว่าเขา

และไม่เห็นความผิดของตัวเองเลยน่ากลัวจริง ๆ
สังเกตุดู คนที่ขี้บ่น ขี้โมโหว่าคนอื่นทำอะไรไม่ดี ไม่ถูก

ตัวของเขาเอง คิดดี พูดดี ทำดีไหม....ก็อาจจะไม่

เราเองก็เหมือนกัน เมื่อเราเกิดอารมณ์ไม่พอใจ

อย่าเชื่อความรู้สึกให้ระงับอารมณ์เสีย ทำใจเป็นกลาง ๆ ไว้

อย่าเชื่อความรู้สึก

อย่าเชื่ออารมณ์

อย่ายินดียินร้าย

มงคลชีวิต : มานะ ๙

มานะ ๙


พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก

ชีวิตมีทั้งวันวาน วันนี้ และวันพรุ่งนี้

เมื่อปัจจุบันธรรม เป็นสิ่งสำคัญของชีวิต

ชีวิตในวันนี้ จึงเป็นเรื่องที่ควรคำนึงถึงมากกว่ากาลใดๆ

วันนี้มีไว้สำหรับแก้ไข ไม่ใช่แก้ตัว

แก้ตัว คือไม่ยอมรับความจริงในการทำผิดของตน

พยายามผลักความผิดไปให้ผู้อื่น หรือ...สิ่งแวดล้อม

แก้ไข คือยอมรับความจริง

หากมีอะไรผิดพลาดบกพร่อง ก็ยอมรับผิด

แล้วพยายามแก้ไข ปรับปรุง พัฒนาตนเอง

คนดี ชอบหาดูจุดบกพร่องของตน

มีหิริโอตตัปปะ ละอายแก่ใจ กลัวบาป

คนชั่ว ชอบหาดูจุดบกพร่องของคนอื่น จับผิดคนอื่น

และคิดไปว่า "เราดี เขาไม่ดี"

เมื่อเขาดีกว่า ก็คิด อิจฉา ริษยา น้อยใจ

ถ้าดีกว่าเขา ก็คิด ถือตัวถือตน ดูถูกดูหมิ่นเขา

เป็นสภาวะที่เกิด อัตตา เกิดตัวตน

อัตตาตัวตน และทุกข์ เป็นบริษัทเดียวกัน

อัตตาตัวตน สร้างขึ้นใช้เวลานานแสนนาน

เป็นเวลาหลายภพหลายชาติ

ด้วยอำนาจของอวิชชา กิเลส ตัณหา อุปาทาน

คิดผิดและสำคัญผิด

สำคัญผิด ๙ อย่าง หรือมานะ ๙

๑. เป็นผู้เลิศกว่าเขา สำคัญตัวว่าเลิศกว่าเขา ก็ผิด

๒. เป็นผู้เลิศกว่าเขา สำคัญตัวว่าเสมอเขา ก็ผิด

๓. เป็นผู้เลิศกว่าเขา สำคัญตัวว่าเลวกว่าเขา ก็ผิด

๔. เป็นผู้เสมอเขา สำคัญตัวว่าเลิศกว่าเขา ก็ผิด

๕. เป็นผู้เสมอเขา สำคัญตัวว่าเสมอเขา ก็ผิด
๖. เป็นผู้เสมอเขา สำคัญตัวว่าเลวกว่าเขา ก็ผิด

๗. เป็นผู้เลวกว่าเขา สำคัญตัวว่าเลิศกว่าเขา ก็ผิด

๘. เป็นผู้เลวกว่าเขา สำคัญตัวว่าเสมอเขา ก็ผิด

๙. เป็นผู้เลวกว่าเขา สำคัญตัวว่าเลวกว่าเขา ก็ผิด

เมื่อใจดี จะไม่มีความคิด "เป็นเรา เป็นเขา"

แต่จะเห็นสัตว์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ให้ "เห็น" เป็นหลัก เป็นกิริยา

คนเรานั้นเมื่ออยู่ในสมมติโลก

เราต้องอยู่ด้วยกันหลายคน มองเห็นเป็นธรรม

ไม่ให้ตัวตนเข้าไปยึด ควบคุมจิตเป็นโอปนยิกธรรม

น้อมเข้ามาหาตนเสมอ พอใจ ไม่พอใจ

ศึกษาเป็นธรรม แยกแยะเป็นธรรม พิจารณาเป็นธรรม

อริยสัจ ๔ สติปัฏฐาน ๔ ใครทำให้เสื่อมลาภ หรือ มีลาภ

ใครทำให้เสื่อมยศ หรือ มียศ

ใครทำให้ถูกนินทา หรือ สรรเสริญ

ใครทำให้ทุกข์ หรือ สุข "ใคร"ก็ไม่สำคัญ

ตัดออกจากความคิด ไม่มีใคร ไม่มีเขา ไม่มีเรา

มีแต่ทกข์ และคิดหาทางออกจากทุกข์ให้ได้

พยายามลดอัตตาตัวตน ลดกิเลส ลดทุกข์

ใครทำความดี ยินดี อนุโมทนาในการทำความดี

ใครทำชั่ว ก็ให้เห็นปัญหาในการทำความชั่ว

ใคร ไม่สำคัญ เห็นเป็นกิริยา

เมื่อใครทำความชั่วในสังคมเรา รักษาใจเราเป็นกลางๆ

สุขภาพใจดี ใจดี มีเมตตา

ยกขึ้นมา ยกการทำชั่วขึ้นมาพิจารณา

ใคร ไม่สำคัญ หาวิธี แก้ไขตักเตือน สำรวม ระวัง

จัดการตามกฎหมาย จัดการตามวินัย ที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้

ให้ลดปัญหาสังคมลง

ใจเราให้ตั้งมั่นใน เมตตา กรุณา มุทิตา อเบกขา

ละมานะ ละอัตตา ให้ได้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ วันนี้

คัดจากหนังสือธรรมเทศนาเรื่อง "ทำใจเป็นธรรม"

โดยพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก

มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ

มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ


วันพฤหัสบดีที่ 01 มกราคม 2009 เวลา 00:00 น.

โดย ดร. มิชิตา จำปาเทศ รอดสุทธิ

เรา เคยพบเพื่อนร่วมงานที่เวลาอยู่ในที่ประชุม ไม่แสดงความคิดเห็น แต่อาจกระซิบกระซาบกับคนข้างๆ แล้วพอออกมานอกห้องประชุมก็มาชวนคนนั้นคนนี้คิดให้แตกต่างจากที่ประชุมสรุป ซึ่งบางครั้งสุดท้ายก็คว่ำมติที่ประชุม ...อาการนี้แลที่ที่บางคนเรียกขานว่า “มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ”

พอเราไปสัมภาษณ์คนทำพฤติกรรมนี้ เขาบอกว่าไม่มีพื้นที่ให้พูดบ้าง พูด ไม่ทันบ้าง ไม่สามารถแทรกแนวคิดได้ ไม่กล้าเสนอความคิดเห็นบ้าง ถึงแม้พูดไปเขาก็ไม่ฟังเราบ้าง ฯลฯ ซึ่งเป็นเหตุผลที่น่าเห็นใจทีเดียว เมื่อเราอยู่ในที่ประชุมที่มีคนพูดเก่ง นำเสนอเร็ว หรือมีคนผูกขาดทางการพูดนั้น การจะนำเสนอไอเดียในที่ประชุมจึงเป็นเรื่องยาก เรื่องนี้ผู้เขียนเคยเขียนในบทความเดิมๆแล้วว่าผู้นำประชุมสามารถช่วยได้ เมื่อเห็นว่าบางคนอาจมีไอเดียแต่แทรกไม่ทัน โดยการส่งลูกไปให้ “คุณเอคิดกับเรื่องนี้ว่าอย่างไรบ้าง”

เพื่อน ร่วมการประชุมหรือตัวประธานเองก็ควรคอยดูพฤติกรรมตัวเองด้วยว่าแสดงออกมากไป หรือเปล่า แม้ว่าไอเดียเราจะดี แต่ถ้ามีแต่เรานำเสนอ การได้ส่วนร่วมจากที่ประชุมก็จะน้อยลง ซึ่งมีผลตอนไปปฏิบัติงาน เราอาจจะไม่ค่อยมีคนให้ความร่วมมือก็ได้ ซึ่งจะกลายเป็นเรื่องที่ต่อว่ากันว่าแต่ละคนมีอัตตา เอาแต่เรื่องที่ตนชอบตนเสนอ พอคนอื่นเสนอบ้างไม่ใช่ไอเดียของตนหรือพวกของตนก็ไม่เอาไปทำ จะให้ไปลดอัตตากันฉับพลันนั้นเป็นเรื่องยาก เราควบคุมพฤติกรรมเราเองที่ทำให้มีผลกระทบทางบวกต่อคนรอบข้างและผลงานดีกว่า   ที่นี้คนที่ไม่กล้านำเสนอให้ที่ประชุมเองนั้น พัฒนาตัวเองให้ทำงานร่วมกับคนอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยก็จะเป็นการช่วย ทั้งองค์กรและส่วนตัว เราอาจจะหาจังหวะว่างที่คนหยุดพูด หรือที่ผู้เขียนบอกผู้เข้าร่วมอบรมว่า “ยังไงเขาต้องหยุดหายใจบ้างล่ะค่ะ แทรกช่องนั้นเลย” หรือบางกรณีก็ยกมือเพื่อจองคิวจะเสนอไอเดียต่อ ซึ่งถือเป็นมารยาทในการประชุมสากล ประธานในที่ประชุมก็จะเชิญให้พูดเมื่อถึงคิวบางคนไม่กล้าเสนอเพราะเสนอทีไรเป็นเรื่องทุกที ส่วนนี้คงต้องฝึกพูดให้คนอื่นเดือดร้อนนะคะ ที่เคยนำเสนอแล้วที่เรียกว่า I’m OK. You’re OK. คอนเซ็ปท์ ง่ายพูดแล้วคนอื่นรู้สึกดีและเราก็รู้สึกดี ภาษาพระเรียกสัมมาวาจา แต่การปฏิบัตินี่ใช้เวลานานทีเดียว ต้องฝึกฝนกันแล้วฝึกฝนกันอีกไปเรื่อยๆ ค่อยๆพัฒนาไป ดีกว่าไม่เริ่มทำ หรือไม่ใส่ใจว่าสิ่งที่เราพูดไปจะไปทำให้ใครเดือดร้อนหรือไม่ บางคนชอบเสนอว่า “ที่คุณจอยพูดมา ผมว่าไม่ได้เรื่อง เราควร..” แบบนี้นิ่งเสียตำลึงทองค่ะ อยู่ๆลุกขึ้นมาว่าคนอื่น ถ้าอยากนำเสนอก็เสนอเนื้อหาเลย ด้วยท่าทีเป็นมิตรไม่วางตัวเหนือผู้อื่น “ไม่ทราบว่าจะเป็นประโยชน์ต่องานนี้หรือไม่ ถ้าเรา...”พฤติกรรมที่เป็นผลลบต่อการทำงานโดยส่วนรวมคือ “การคว่ำกระดาน” ซึ่งกล่าวในเบื้องต้นว่า บางคนไม่ยอมนำเสนอไอเดียที่แตกต่างตั้งแต่ในที่ประชุม แต่แอบคุยกันทีหลัง กลายเป็นนินทาไปบ้าง กลายเป็นไปยุแยงให้คนเปลี่ยนแนวคิดบ้าง สุดท้ายก็ล้มมติที่ประชุมที่คุยกันไปแล้ว พฤติกรรมนี้นอกจากไม่ช่วยทำงานในที่ประชุมแล้ว ยังก่อความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น คนทำงานก็ทำต่อไม่ได้เพราะต้องมาเริ่มคุยกันใหม่ แทนที่จะประชุมเสนอความเห็นกันให้เสร็จตั้งแต่ครั้งแรก เหมือนคนไม่ช่วยพายเรือ แต่ปล่อยเท้าให้ราน้ำไป ทำให้เรือยิ่งพายยากขึ้นช้าขึ้น คนทำงานก็เสียความรู้สึกซึ่งกันและกัน พลอยทำให้เกิดความไม่วางใจกันมากขึ้น เพราะไม่ยอมคุยกันต่อหน้า
ซึ่ง เราเองผู้ไม่กล้าเสนอในที่ประชุมอาจไม่ได้คิดว่าจะเกิดเหตุแบบนี้ขึ้น แค่เราไม่กล้านำเสนอ เลยถามคนข้างๆว่าไอเดียนี้ใช้ได้หรือเปล่า พอประชุมเสร็จก็มาคุยกับคนอื่นเพิ่มเฉยๆ ก็ลองพิจารณาดูนะคะว่าบางทีพฤติกรรมของเราอาจกลายเป็นเหตุให้คนอื่นเดือด ร้อนได้ ลองพยายามนำเสนอในที่ประชุมให้มากขึ้นเมื่อมีไอเดีย อย่าง น้อยก็แสดงความจริงใจของเราที่จะช่วยให้งานส่วนรวมในที่ประชุมสำเร็จ ไม่ทำให้ใครมาว่าเราได้ว่าไม่ช่วยออกความคิดเห็นแต่มาทำลายงานของส่วนรวมได้อีก เทคนิคหนึ่งของการประชุมคือการคุยแบบวงกลม หรือที่บางคนเรียกไดอะล็อก ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบจากกลุ่มก่อนว่าอยากใช้วิธีนี้ประชุมร่วมกัน ประชุมแบบนี้ไม่ต้องมีประธานก็ได้ ใครพร้อมก็พูด พูดทีละคน คนที่เหลือนั่งฟังอย่างลึกซึ้ง ฟังอย่างตั้งใจ พูดจนหมดแล้วคนอื่นจึงจะเริ่มพูดได้ บางที่ก็ให้ถืออุปกรณ์สักชิ้นเป็นการบอกว่าเป็นคนพูด เช่น ปากกา ก้อนหิน ฯลฯ เรียกว่าเป็น Talking Stick ซึ่งคนที่ไม่ได้ถืออุปกรณ์นี้ต้องเงียบและฟังตามกติกา  ถ้า วงไหนทะเลาะกันเก่งนัก กฎข้อหนึ่งที่ช่วยดีคือ คนพูดต้องเว้นไปอีกสองคนก่อนจึงจะมีสิทธิพูดอีกครั้งได้ เช่น นายเอพูดแล้ว ต้องให้คนอื่น เช่น นายบีและนายซีพูดก่อน นายเอจึงจะมีสิทธิพูดอีกที แบบนี้คนที่จะพูดขัดกันก็จะมีเวลาใคร่ครวญ ไม่ตอบโต้ออกไปทันที เพราะยังไม่ถึงคิว ต้องรออีกสองคนก่อน กฎอีกข้อคือห้อยแขวนการตัดสิน หรือไม่ไปคอยคิดประเมินคนนั้นถูกผิดใช่ไม่ใช่ คนฟังแต่ละคนควรฝึกดูแลจิตใจตัวเองเพื่อจะได้เรียนรู้รับข้อมูลกันได้ลึก ซึ้งขึ้น เข้าใจผู้อื่นได้มากขึ้น 
ข้อเสียที่บางคนบ่นคือกระบวนการนี้ใช้เวลามากทีเดียว เพราะบางคนก็พูดน้ำไหลไฟดับแต่เราขัดจังหวะไม่ได้ เพราะกฎคือให้ฟังจนหมด หรือบางคนก็พูดไปเรื่องนั้นเรื่องนี้แทนที่จะเข้าเนื้อหาการประชุม ฯลฯ การใช้วงคุยแบบนี้จึงควรเลือกให้เหมาะกับเรื่องที่เราใช้ สถานการณ์ที่เหมาะสม ว่าเราจะต้องการเนื้องานออกมาเป็นหลักหรือว่าจะเน้นหนักความรู้สึกการมีส่วน ร่วมเป็นหลักอย่างไร ก็ตามถ้าคนในวงประชุมสามารถใช้แบบผสมผสาน คืออย่างน้อยในที่ประชุมรู้จักฟังซึ่งกันและกันมากขึ้น หยุดให้คนอื่นพูด ฟังคนอื่นอย่างลึกซึ้งไม่ตัดสิน รู้จักนำเสนอไอเดียที่ควรนำเสนอ เงียบเมื่อควรเงียบ ไม่จำเป็นต้องแสดงตนเป็นผู้นำผู้มีอิทธิพลตลอดเวลา โดยเฉพาะประธานนำประชุมที่เข้าใจก็จะสามารถช่วยดูแลคนทั้งหมดได้ แบบนี้เราก็จะได้ทั้งงานทั้งคน ไม่ต้องมีอาการ มือไม่พายเอาเท้าราน้ำอีกค่ะ

>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>

ดร. มิชิตา จำปาเทศ รอดสุทธิ จบการศึกษาทางการจัดการองค์กรธุรกิจระหว่างประเทศและการบริหารเชิงกลยุทธ์ มีความเชี่ยวชาญในด้านการบริหารคน การจัดการองค์กรและการบริหารการเปลี่ยนแปลง ปัจจุบันดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการของสถาบันการบริหารและจิตวิทยา ซึ่งเปิดอบรมสัมมนาหลักสูตรสำหรับผู้บริหาร เช่น หลักสูตร The Boss หลักสูตรการบริหารสำหรับเจ้าของกิจการและผู้บริหารระดับสูง และหลักสูตรอื่นๆที่ครอบคลุมการบริหารจัดการกว่า ๑๐๐ หลักสูตร อาจารย์เป็นวิทยากรและที่ปรึกษาให้กับองค์กรภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ เอกชน และภาคสังคม เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงศึกษาธิการ การบินไทย จำกัด (มหาชน) ซีพีเซเว่นอีเลฟเว่น ฯลฯ เป็นคอลัมนิสต์ในหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ดอกเบี้ยธุรกิจ และเป็นผู้ร่วมขับเคลื่อนงานในภาคสังคม เช่น จิตอาสา จิตตปัญญาศึกษา

3 x 8 = ?????

เอี๋ยนหุยใฝ่ศึกษา มีคุณธรรมงดงาม เป็นศิษย์รักของขงจื้อ มีอยู่วันหนึ่ง เอี๋ยนหุยออกไปทำธุระที่ตลาด เห็นผู้คนจำนวนมากห้อมล้อมอยู่ที่หน้าร้านขายผ้า




จึงเข้าไปสอบถามดู จึงรู้ว่าเกิดการพิพาทระหว่างคนขายผ้ากับลูกค้า

ได้ยินลุกค้าตะโกนเสียงดังโหวกเหวกว่า “3x8ได้ 23 ทำไมท่านถึงให้ข้าจ่าย24เหรียญล่ะ!”

เอี๋ยนหุยจึงเดินเข้าไปที่ร้าน หลังจากทำความเคารพแล้ว ก็กล่าวว่า “พี่ชาย 3x8 ได้ 24 จะเป็น 23 ได้ยังไง? พี่ชายคิดผิดแล้ว ไม่ต้องทะเลาะกันหรอก”



คนซื้อผ้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ชี้หน้าเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า “ใครให้เจ้าเข้ามายุ่ง! เจ้าอายุเท่าไหร่กัน! จะตัดสินก็มีเพียงท่านขงจื้อเท่านั้น ผิดหรือถูกมีท่านผู้เดียวที่ข้าจะยอมรับ



ไป ไปหาท่านขงจื้อกัน ”

เอี่ยนหุยกล่าวว่า “ก็ดี หากท่านขงจื้อบอกว่าท่านผิด ท่านจะทำอย่างไร?”

คนซื้อผ้ากล่าวว่า“หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมให้หัวหลุดจากบ่า! แล้วหากเจ้าผิดล่ะ?”

เอี๋ยนหุยกล่าวว่า “หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมถูกปลดหมวก(ตำแหน่ง)”

ทั้งสองจึงเกิดการเดิมพันขึ้น

เมื่อขงจื้อสอบถามจนเกิดความกระจ่าง ก็ยิ้มให้กับเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า “3x8ได้ 23 ถูกต้องแล้วเอี๋ยนหุย เธอแพ้แล้ว ถอดหมวกของเธอให้พี่ชายท่านนี้เสีย”

เอี๋ยนหุย ไม่โต้แย้ง ยอมรับในการวินิจฉัยของท่านอาจารย์ จึงถอดหมวกที่สวมให้แก่ชายคนนั้น

ชายผู้นั้นเมื่อได้รับหมวกก็ยิ้มสมหวังกลับไป

ต่อคำวินิจฉัยของขงจื้อ ต่อหน้าแม้เอี๋ยนหุยจะยอมรับ แต่ในใจกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น

เอี๋ยนหุยคิดว่าท่านอาจารย์ชรามากแล้ว ความคิดคงเลอะเลือน จึงไม่อยากอยู่ศึกษากับขงจื้ออีกต่อไป


พอรุ่งขึ้น เอี๋ยนหุยจึงเข้าไปขอลาอาจารย์กลับบ้าน ด้วยเหตุผลที่ว่าที่บ้านเกิดเรื่องราว ต้องรีบกลับไปจัดการ

ขงจื้อรู้ว่าเอี๋ยนหุยคิดอะไรอยู่ ก็ไม่ได้สอบถามมากความ อนุญาตให้เอี๋ยนหุยกลับบ้านได้

ก่อนที่เอี๋ยนหุยจะออกเดินทาง ได้เข้าไปกราบลาขงจื้อ ขงจื้อกล่าวอวยพรและให้รีบกลับมาหากเสร็จกิจธุระแล้ว
พร้อมกันนั้นก็ได้กำชับว่า “อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง”


เอี๋ยนหุยคำนับพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์จะจำใส่ใจ” แล้วลาอาจารย์ออกเดินทาง


เมื่อออกเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง เกิดพายุลมแรงสายฟ้าแลบแปลบ เอี๋ยนหุยคิดว่าต้องเกิดพายุลมฝนเป็นแน่


จึงเร่งฝีเท้าเพื่อจะเข้าไปอาศัยอยู่ไต้ต้นไม้ใหญ่ แต่ก็ฉุกคิดถึงคำกำชับของท่านอาจารย์ที่ว่า “อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง”

เราเองก็ติดตามท่านอาจารย์มาเป็นเวลานาน ลองเชื่ออาจารย์ดูอีกสักครั้ง คิดได้ดังนั้น จึงเดินออกจากต้นไม้ใหญ่

ในขณะที่เอี๋ยนหุยเดินไปได้ไม่ไกลนัก บัดดล สายฟ้าก็ผ่าต้นไม้ใหญ่นั้นล้มลงมาให้เห็นต่อหน้าต่อตา เอี๋ยนหุยตะลึงพรึงเพริด


คำกล่าวของพระอาจารย์ประโยคแรกเป็นจริงแล้ว หรือตัวเราจะฆ่าใครโดยไม่รู้สาเหตุ?







เอี๋ยนหุยจึงรีบเดินทางกลับ กว่าจะถึงบ้านก็ดึกแล้ว แต่ไม่กล้าปลุกคนในบ้าน เลยใช้ดาบที่นำติดตัวมาค่อยๆเดาะดาลประตูห้องของภรรยา

เมื่อเอี๋ยนหุยคลำไปที่เตียงนอน ก็ต้องตกใจ ทำไมมีคนนอนอยู่บนเตียงสองคน!



เอี๋ยนหุยโมโหเป็นอย่างยิ่ง จึงหยิบดาบขึ้นมาหมายปลิดชีพผู้ที่นอนอยู่บนเตียง



เสียงกำชับของอาจารย์ก็ดังขึ้นมา “อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง”







เมื่อเขาจุดตะเกียง จึงได้เห็นว่า คนหนึ่งคือภรรยา อีกคนหนึ่งคือน้องสาวของเขาเอง

พอฟ้าส่าง เอี๋ยนหุยก็รีบกลับสำนัก



เมื่อพบหน้าขงจื้อจึงรีบคุกเข่ากราบอาจารย์และกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ คำกำชับของท่านได้ช่วยชีวิตของศิษย์ ภรรยาและน้องสาวไว้



ทำไมท่านจึงรู้เหมือนตาเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์บ้าง?”

ขงจื้อพยุงเอี๋ยนหุยให้ลุกขึ้น และกล่าวว่า “เมื่อวานอากาศไม่ค่อยสู้ดีนัก น่าจะมีฟ้าร้องฟ้าแลบเป็นแน่



จึงเตือนเธอว่า อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่



และเมื่อวาน เธอจากไปด้วยโทสะ แถมยังพกดาบติดตัวไปด้วย



อาจารย์จึ้งเตือนเธอว่า อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง ”



เอี๋ยนหุยโค้งคำนับ “ท่านอาจารย์คาดการดังเทวดา ศิษย์รู้สึกเคารพเลื่อมใสท่านเหลือเกิน”



ขงจื้อจึงตักเดือนเอี๋ยนหุยว่า “อาจารย์ว่าที่เธอขอลากลับบ้านนั้นเป็นการโกหก ที่จริงแล้วเธอคิดว่าอาจารย์แก่แล้ว ความคิดเลอะเลือน



ไม่อยากศึกษากับอาจารย์อีกแล้ว เธอลองคิดดูสิ อาจารย์บอกว่า 3x8ได้ 23 เธอแพ้ ก็เพียงแค่ถอดหมวก



หากอาจารย์บอกว่า 3x8ได้ 24 เขาแพ้ นั่นหมายถึงชีวิตของคนๆหนึ่ง เธอคิดว่าหมวกหรือชีวิตสำคัญล่ะ? ”





เอี๋ยนหุยกระจ่างในฉับพลัน คุกเข่าต่อหน้าขงจื้อ แล้วกล่าวว่า “ท่านอาจารย์เห็นคุณธรรมเป็นสำคัญ โดยไม่เห็นแก่เรื่องถูกผิดเล็กๆน้อยๆ



ศิษย์คิดว่าอาจารย์แก่ชราจึงเลอะเลือน ศิษย์เสียใจเป็นที่สุด”





จากนั้นเป็นต้นไป ไม่ว่าขงจื้อจะเดินทางไปยังแห่งหนตำบลใด เอี๋ยนหุยติดตามไม่เคยห่างกาย

จากตำนานเรื่องเล่านี้ ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเพลงๆหนึ่งของอิวเค่อหลี่หลิน(นักร้องดูโอของไต้หวัน)



ที่ร้องว่า “หากสูญเสียเธอไป ต่อให้เอาชนะทั้งโลกได้แล้วจะยังไง? เช่นกัน

บางครั้งคุณอาจเอาชนะคนอื่นด้วยเหตุผลของคุณ แต่อาจจะสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดไป ”

เรื่องราวต่างๆ แบ่งเป็นหนักเบารีบช้า อย่าเป็นเพราะต้องการเอาชนะให้ได้ แล้วทำให้เสียใจไปตลอดชีวิต

เรื่องราวมากมายที่ไม่ควรทะเลาะกัน ถอยหนึ่งก้าวทะเลกว้างฟ้างาม

ทะเลาะกับลูกค้า ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (วันที่ส่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ใหม่ คุณก็จะรู้สึก)

ทะเลาะกับเถ้าแก่ ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (วันที่ตรวจผลงานปลายปีมาถึง คุณก็จะรู้สึก)

ทะเลาะกับภรรยา ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (เธอไม่สนใจคุณ คุณก็หากับข้าวกินเองละกัน)

ทะเลาะกับเพื่อน ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (เคลียร์ไม่ได้ คุณอาจจะเสียเพื่อนไปเลย)

ใบชา เกิดสีสวยและกลิ่นหอมน่าลิ้มลองได้ ก็เพราะโดนน้ำร้อนลวก





ชีวิตของคนเราก็เช่นเดียวกัน เพราะเผชิญกับอุปสรรคครั้งแล้วครั้งเล่า

จึงเหลือไว้ซึ่งเรื่องราวเป็นตำนานให้ได้เล่าขานน่าตามติด

วันอาทิตย์, กุมภาพันธ์ 27, 2554

วิธีทำบลูเบอรี่ชีสพาย

บลูเบอรี่พาย

สิ่งที่ต้องเตรียมมีดังนี้

1. RITZ แครกเกอร์ 300 กรัม ( 57 บาท )

2. บลูเบอรี่กระป๋องยี่ห้อสุดฮิต Wilderness ( 130 บาท )

3. นมข้นหวานตราหมี 5 ช้อนโต๊ะ ( ป๋องละ 22 บาท )

4. ครีมชีส 3/4 ก้อน ยี่ห้อ Philadelphia ( 106 บาท )

5. เนยจืด 1 ก้อน ( ใช้ออร์คิด เพราะถูกสุด ฮ่าๆ 39 บาท )

6. เนยเค็มครึ่งก้อน ( 39 บาท )

7. มะนาว ครึ่งลูก ( ค้นๆในตู้เย็น )

เริ่มทำตัวพายกันก่อนค่ะ



บลูเบอรี่พาย

คือบดแครกเกอร์ให้ละเอียดพอประมาณ


วาเลยเอาแครกเกอร์ใส่ถุงซิปลอค แล้วก็ จัดการทุบๆๆให้ละเอียด

เคยได้ยินมาว่า ถ้าละเอียดมากๆ ตัวพายจะแข็งเกินไป

บลูเบอรี่พาย


เอาเนยจืด ครึ่งก้อน กับเนยเค็มครึ่งก้อน หันเป็นชิ้นเล็กๆ


ยัดตู้ไมโครเวฟไปเลยค่ะ 1 นาทีพอละลาย

แล้วก็เอามาใส่ลงไปใน แครกเกอร์ป่นของเรา ค่อยๆใส่ค่อย คลุกๆๆๆ นะคะ

บลูเบอรี่พาย

สุดท้ายแล้ว วาก็ใส่เกือบหมดแหน่ะ เหลือราวๆ 2 ช้อนโต๊ะได้ค่ะ


แต่จริงๆควรใส่ลงไปให้หมดนะ เพราะว่า ทำออกมามานร่วนเล็กๆไม่รู้เป็นไง

เอาคลุกๆๆๆๆๆๆ จนให้เหมือน ทรายเปียกๆ ก็โอเคค่ะ
บลูเบอรี่พาย

เรียบร้อยแล้วก็มาถึงวิธีการ ยัดมันลงไปในถาดฟรอย


บลูเบอรี่พาย

ได้ถาดฟรอยขนาดเล็กๆมาค่ะ เบอร์ 305 มั๊ง มีฝาปิดด้วย ไฮโซซะ


20 ถาด พร้อมฝา ราคา 60 บาทค่ะ จากสยามซอย 2

แล้วเราก็เอาแครกเกอร์ป่นคลุกเนยของเรา อัดมันลงไปในถาดซะเอาแน่นๆ

บลูเบอรี่พาย


เบ็ดเสร็จแล้ว ก็ทำออกมาได้ 10 ถาดถ้วนนนน


ใช้เวลานานพอสมควรค่ะ พอดี แครกเกอร์วาหยาบบางอัน

กลัวว่ามันจะแข็งไป จริงๆน่าจะเอาละเอียดๆกว่านี้ เฮ้ออออ

เสร็จแล้วก็จับยัดตู้เย็นไปเลยค่ะ วาแช่ฟรีซ 20 นาที เพราะรีบ ค่ะ
 
บลูเบอรี่พาย

ในระหว่างแช่ตู้เย็น เราก็หันมาทำตัวครีมกันดีกว่า


เริ่มจากเอาเนยจืดครึ่งก้อนที่เหลือมาหั่นชิ้นเล็กๆๆ


แล้วก็เอาครีมชีสที่นิ่มแล้ว ( ก่อนทำเอาออกจากตู้เย็นมาวางไว้ก่อน )

หั่นเล็กๆๆๆ เหมือนกันค่ะ แล้วก็คนให้เข้ากันจนเนียนๆๆ
บลูเบอรี่พาย
ตอนแรกอ่านสูตรชาวบ้านมาคือถ้ามีเครื่องก็ใช้เครื่อง แต่วาไม่มี


เลยเอาที่ตีไข่ธรรมดาอ่ะค่ะ มากวนๆๆ ใหม่ๆมานผสมกันยากมากให้ตายเหอะ

( ไม่เคยทำขนมมาก่อน เพิ่งรู้ว่ายากงี้ -*- ) แล้วก็กวนไปเรื่อยๆค่ะ ออกแนวดึงดัน

เทคนิคให้ทำง่ายขึ้น :: น่าจะหั่นเนยและครีมชีสก้อนเล็กกว่านี้นะคะเนี่ย

บลูเบอรี่พาย

เอาล่ะ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามก็อยู่ที่นั่นแหล่ะค่ะ


ครีมของเราก็พอจะกวนๆได้บ้างและ เอาจนเนียนๆๆ เข้ากั๊น เข้ากันแล้ว

ก็จัดการใส่ นมข้นหวานลงไป 5 ช้อนโต๊ะ ใครชอบหวานจัดการตามสบายค่ะ

แต่สูตรของวาไม่หวานค่ะ กะให้ออกเปรี้ยวนำ เพราะบลูเบอรี่แอบหวานแล้ว

บลูเบอรี่พาย

แล้วก็คนต่อไปเรื่อยๆ แล้วก็ใส่มะนาวลงไปนะจ๊ะ จัดไปก่อน 1 ซีก แล้วตามด้วยอีก 1 ซีก

รวมแล้วประมาณ ครึ่งลูกค่ะ

บลูเบอรี่พาย

คนต่อไป ชิมไปด้วยค่ะ มันยังหวานๆอยู่เลย วาอยากให้มันเปรี้ยว


แต่ไม่เปรี้ยวโดดๆเหมือนใส่มะนาว เลยไป ควานๆหาของในตู้เย็นออกมา

ได้มาเป็นนนนนนนน " โยเกิตรสธรรมชาติ "

บลูเบอรี่พาย
ไม่รู้ว่าจะปวดท้องรึเปล่า กำ! แต่ใส่ลงไปแล้วค่ะ 4 ช้อนโต๊ะ


อุ๊ย...คนๆแล้วครีมนุ่มนิ่มแถมรสชาติถูกจาย แต่กินแล้ว

ปลอดภัยรึเปล่าไม่แน่ใจนะคะ 5555

บลูเบอรี่พาย
เอาล่ะ เสร็จซักกะที แล้วก็เอาพายออกจากตู้เย็นก่อนนะคะ อย่าลืมดูเวลา


ข่าวว่ามานอาจจะแข็งไปแล้วเพราะลืมอยู่ในช่องฟรีซ หุหุ

ก็เอาครีมที่ได้ หยอดๆลงไป โอ้วว จอร์จ ไม่น่าเชื่อ ครีมที่เราทำ

ใส่หมดพอดีเด๊ะๆๆๆ 10 ถาด ส่วนผสมแม่นยังกับโปร จริงๆมั่ว ก๊ากกกกกก


บลูเบอรี่พาย

แช่ตู้เย็นต่อค่ะ 20 นาทีเหมือนเดิม จริงๆคอยมาแตะดูก็ได้ว่าแข็งรึยัง


เค้าว่ากันว่า ตอนจะกินค่อยใส่บลูเบอรี่ใช่ป่ะคะ

วาก็เลยจับเอาบางส่วน เก็บ แช่ตู้เย็นไว้เลย แล้วก้เอามาราดบลูเบอรี่

แค่ไม่กี่อัน พร้อมเสริฟ . . .
บลูเบอรี่พาย
บลูเบอรี่โดนแสงแฟลต สีแสบตามากกกกก แพลบๆๆ น่ากินน


หลังจากเอาเจ้าพายที่ราดครีมออกมาแล้ว

ก็จัดการ ราดบลูเบอรี่กันดีกว่าค่ะ
บลูเบอรี่พาย
บลูเบอรี่พาย
หลังจากที่มองไปเห็น วิปครีมสำเร็จรูปในตู้เย็น


เลยเอามาเล่นซักหน่อยค่ะ แต่ข้อเสียของมันคือ ละลายเร็วมากๆ

เลยทำให้มันไม่น่ากินเลยอ่ะ ละลายซะงั้น ไม่ปลื้มๆ

ถ้าเป็นวิปครีมตีเอง อาจจะดีกว่านี้ค่ะ ( มั๊ง.. )
บลูเบอรี่พาย

วิธีทำบลูเบอร์รี่้ชีสพาย






อุปกรณ์


1. แครกเกอร์ (ของริชก็ได้ค่ะ หรือ ของอะไรก็ได้) ประมาณ ครึ่งกล่อง


2. บลูเบอรี่ 1 กระป๋อง (ยี่ห้ออะไร จำไมได้ -*- อะไรก็ได้)


3. ครีมชีท (ฟีลาเดเฟีย) 1/2 ก้อน


3. น้ำมะนาว 1-2 ลูก


4. นมข้นหวาน (ตราหมี)


5. น้ำเปล่า


6. ถาดฟรอย


7. เนยชนิด เค็ม หรือ จืด ก็ได้ 1/2 ก้อน


8. เจลลาติน 1 แผ่น


9. เครื่องปั่นอเนกประสงค์






วิธีทำ

1. บดแครกเกอร์ให้ละเอียด (ถ้าไม่มีที่บดเป็นไม้ๆ ใช้ครก ตำเลยได้ค่ะ)


2. นำเนยไปละลายในหม้อ ใช้ไฟอ่อนๆ แล้วก็คนเรื่อยๆ จนเหลว หรือ นำเข้าไมโครเวฟไปเลยก็ได้ค่ะ


3. นำเนยที่ได้ มาเทใส่แครกเกอร์ที่บดไว้ แล้วคลุกให้แครกเกอร์จับตัวกัน (ลักษณะคล้ายๆ ทรายที่เปียกน้ำ)


4. นำแครกเกอร์ไปใส่ในถาดฟรอย กดให้แน่นๆ แล้วนำเข้าช่อง Freez ในตู้เย็น


5. นำครีมชีท ไปใส่ในเครื่อปั่น พร้อมใส่น้ำลงไปเล็กน้อย (ย้ำว่าเล็กน้อย ไม่งั้นมันจะเหลว) เพื่อไม่ให้มันฝืดเวลาปั่น จากนั้นเทน้ำมะนาวลงไป พร้อมกับนมข้นแล้วปั่นให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว


6. จากนั้นนำเจลลาติน ใส่น้ำเล็กน้อยเพื่อให้ไม่แข็งเป็นแผ่น แล้วนำไปใส่ในเครื่องปั่น แล้วปั่นให้เข้ากัน


7. สังเกตุให้ครีมมันข้นๆ โดยการนำช้อนหรืออะไรก็ได้ ไปตัก ให้ครีมมันหยดช้าที่สุด เท่าที่จะทำได้


8. นำครีมชีทที่ได้ มาเทใส่ในถ้วยฟรอยที่แช่ไว้


9. นำไปแช่แข็งอีกครั้ง


10. เมื่อครีมชีทเซตตัว ให้นำบลูเบอรี่ มาตักใส่ไปบนหน้าขนม เท่านี้ แล้วนำไปแช่อีกครั้ง เมื่อต้องการรับประทานเย็นๆ เท่านี้ก็เรียบร้อย






ps.. น้มข้นและมะนาวนั้น แล้วแต่คนชอบ ถ้าชอบหวานก็ใส่นมข้นเยอะหน่อย ถ้าชอบอมเปรี้ยวๆ ก็ใส่มะนาวเยอะ

วิธีทำบลูเบอร์รี่ชีสพาย



1. ขนมปัง ABC แบบปี๊บ (ซื้อร้านขนมแถวบ้าน 100 ราคาคนรู้จัก คนทั่วไปเค้าขาย 130)

2. ถุงมือซื้อมาจาก villa ราคา 45 บาท มี 100 ข้าง จิงๆ อันนี้แอบเวอร์ไม่้ต้องใส่ก็ได้แหละ และอันนี้มันก็ไม่ work ด้วย เพราะ มันบางไป พอใช้บี้ขนมปัง ABC ก็ขาดหมดมือเลอะอยู่ดี -_-'

3. มะนาว 1 ลูก แอบหยิบมาจากตู้เย็นที่บ้าน ดังนั้น ฟรี 55

4. ครีมชีส ต้อง Philadelphia ของ Kraft เพราะเค้าว่ามันอร่อยอ่ะ ราคาตั้งแต่ 123-136 บาท แล้วแ่ต่สถานที่นะ (123 เห็นที่ super มาบุญครอง, villa 136, carrefour 134)

5. บลูเบอร์รี่กระป๋อง ยี่ห้อ Wilderness ราคา 130-136 แล้วแต่สถานที่เหมือนกัน

6. ถาดฟรอย อันนี้ซื้อมาจากร้านตรงสะพานหัน แต่เห็น villa ก็มีขาย แบบในรูป 20ถาด พร้อมฝาปิด 55 บาท

7. นมมะลิ ซื้อจาก 7-11 ราคา 22.50 (จิงๆอยากได้ นมตราหมี แต่ตอนนี้หาซื้อไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับ เมลามีน จีนรึป่าว)

8. เนยเค็ม ซื้อของ ออคิด มา 77 บาท เพราะมีที่ใส่เรียบร้อยดี

ดูอุปกรณ์ทั้งหมดอีกมุมนึง





ขั้นตอนที่ 1 เอาขนมปัง ABC ออกมา และเตรียมเนยเค็มด้วยส่วนนึง อันนี้แล้วแต่คนชอบนะ บางคนใช้ cracker ของ Ritz ห่อแดงๆ หรือ บางคนก็ใช้ โอรีโอ แต่ น้องก้อยบอกให้เอา ABC เพราะ Ritz อาจจะเลี่ยนไป กะว่าคราวหน้าจะลอง Ritz ซื้อมาแล้วด้วย (พวกอุปกรณ์ดีเด่น)



ขั้นตอนที่ 2 บี้ขนมปัง ABC จนละเอียด และเอาเนยไปละลาย





ขั้นตอนที่ 3 เอาเนยที่ละลายแล้ว เทลงไปที่ ABC ที่ละเอียด แล้วคนๆให้เข้ากัน สังเกตว่ามันจะจับเป็นก้อนๆ ถ้าไม่เป็นก้อนๆก็แสดงว่าใส่เนยเค็มน้อยไป หรือ ขนมปังมันละเอียดไม่พอ



ขั้นตอนที่ 4 เอา ขนมปังละเอียดอัดใส่ถาดฟรอย อัดแน่นๆนะ



นี่ทำไว้เพียบบ





ขั้นตอนที่ 5 เอาไปแช่ช่อง freeze ทั้งถาดเลย





ขั้นตอนที่ 6 มาเริ่มทำ ครีมชีส ได้แล้ว คนที่โปรๆ เค้าจะมีเครื่องตีครีมชีส แต่ไม่ต้องก็ได้ ใช้เครื่องปั่นธรรมดานี่แหละ ปั่นๆเอา สูตรคือ ครีมชีส 1 ก้อน มะนาว 1 ลูก นมข้น 4 ช้อนโต๊ะ




ปั่นๆตีๆ ก็จะออกมาประมาณนี้ นวลฟูเลย รสชาดก็ชิมๆเอา ปรับเปลี่ยนได้

ขั้นตอนที่ 7 ก็เอาครีมที่ตีเสร็จแล้ว มาทาๆที่ cracker ที่เตรียมไว้



ขั้นตอนที่ 8 เสร็จแล้วก็เอาฝาปิด แล้วแช่ช่อง freeze เหมือนเดิม พอจะกินก็เอาบลูเบอร์รี่มาใส่แบบนี้


เสร็จแล้ว เรียบร้อยไม่ถึง 10 ขั้นตอนเลย มีเทคนิคว่าจะกินค่อยเอาบลูเบอร์รี่ใส่ จะได้อร่อยๆ :P แล้วก็เอาออกมาจากช่อง freeze ควรรอซักหน่อยให้มันคลายตัว แล้วค่อยกิน จะได้ไม่แข็ง หรือ เย็นจนเกินไป

ที่มา : -ขอบคุณ http://www.pg.in.th/blog/view/112

ละครบันไดดอกรัก

รักแท้.....ยิ่งไขว่คว้ายิ่งหาไม่เจอ...แต่ถ้าเผลออาจจะเจอโดยไม่รู้ตัว


กระเช้า (พีชญา วัฒนามนตรี) สาวสวย แสนใส จิตใจดี ไม่มีพิษไม่มีภัย ขดสมองไม่ซับซ้อน คิดทุกอย่างชั้นเดียว กระเช้าถูก จวงจิต (สุรางคณา สุนทรพนาเวศ) แม่บังเกิดเกล้าทั้งกดดัน และกล่อมเกลาให้กระเช้ามีความฝันอันสูงสุด คือการแต่งงานกับผู้ชายรวยๆ เพื่อลดปมด้อยที่ถูก ชิดชัย (ชาติชาย งามสรรพ์) ผู้เป็นพ่อทิ้งไปหา เจ๊ปิ่นทอง (ฐรินดา กรรณสูต) เศรษฐีนีประจำตลาดผลไม้ ชิดชัยทิ้งจวงจิตไปหาปิ่นทองเพราะรวย....ทำให้จวงจิตเจ็บแค้นแสนสาหัส หันไปกินเหล้าเมามาย และฝังหัวกระเช้าทุกเช้าค่ำให้เธอจับผู้ชายรวยๆ ให้ได้สักคน เพื่อยกระดับครอบครัวให้สูงเทียมหน้าเทียมตาคนอื่น ยิ่งรวยกว่านังปิ่นทองได้ยิ่งดี กระเช้าสงสารแม่ที่วันๆ เอาแต่เศร้าใจกับอดีต และหมั่นไส้เจ๊ปิ่นทองที่ชอบมาอวดรวยและควงพ่อมาเยาะเย้ยแม่ทุกครั้งที่มีโอกาส กระเช้าจึงตั้งประกาศก้องว่าต้องหาผู้ชายรวยๆ มาเป็นสามีให้ได้ !!!! (เพราะถ้าจะรวยจากการทำมาหากินด้วยตัวเองชาตินี้คงไม่มีหวัง)



แผนปฎิบัติการตามความหวังอันสูงส่งของกระเช้า เริ่มต้นขึ้นเมื่อ หมี่กรอบ (ปัณฑิตา ภูวิจารย์ เคาว์เวลล์) เพื่อนสาวสุดห้าวหาญมาชวนไปทำงานที่กรุงเทพฯ หมี่กรอบเป็นคนฉลาดและหัวดีเป็นเลิศ หมี่กรอบและกระเช้าเป็นเพื่อนซี้ที่มีบุคลิกต่างกันสุดขั้ว แต่เป็นความต่างที่ลงตัว ทำให้ทั้งสองคนผูกพันกันราวกับพี่น้องคลานตามกันมา หมี่กรอบเรียนเก่ง ขยัน และสู้คน แต่ไม่ค่อยแต่งตัว ทำให้ความสวยคมถูกซ่อนไว้ภายใต้เสื้อผ้าหลวมโขลก ถึงแม้กระเช้าจะพยายามจับหมี่กรอบแต่งตัว แต่สุดท้ายก็กลับมามอมแมมเหมือนเดิม



หมี่กรอบทำงานเป็นหัวหน้าคนงานในฟาร์ม ‘ราชินีกล้วยไม้’ เป็นฟาร์มกล้วยไม้ส่งนอกของ ดร. ศีล (ดิลก ทองวัฒนา) ผู้เชี่ยวชาญด้านการขยายพันธุ์กล้วยไม้ ศีลเป็นคนมีศีลธรรมสมชื่อ ดูแลคนงานในฟาร์มด้วยความเป็นกันเอง เหมือนคนในครอบครัว ศีลมีภรรยาชื่อ บุปผา (อุทุมพร ศิลาพันธ์) ผู้คลั่งไคล้การทำบุญอย่างมาก ทอดผ้าป่า ทอดกฐินเป็นงานหลัก หมี่กรอบชวนกระเช้าเข้ามาทำงานในฟาร์มเพราะเห็นว่ากระเช้าอยู่บ้านเฉยๆ นานๆ ทีถึงจะมีคนมาชวนไปประกวดเทพีตามงานต่างๆ ได้รางวัลบ้าง ไม่ได้รางวัลบ้าง กระเช้าเห็นว่าดีกว่าอยู่เฉยๆ จึงตัดสินใจหอบเสื้อผ้าลาแม่มาทำงานในเมืองกรุง อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้กระเช้าตัดสินใจมาทำงานกับหมี่กรอบ เพราะรู้มาว่าเจ้าของฟาร์มมีลูกชายสุดหล่อที่สาวๆ กำลังจ้องจับมากมาย กระเช้าจึงพุ่งมาในทันที หวังว่าความสวยที่มีจะสามารถมัดใจลูกชายเจ้าของฟาร์มได้สำเร็จ



และแล้ว....ความตั้งใจของกระเช้าก็สัมฤทธิ์ผลเมื่อโชคชะตาพาให้เธอได้มาเจอกับ เทียน (อรรคพันธ์ นะมาตร์) หนุ่มเสเพล รักสนุก อารมณ์ดี เปลี่ยนสาวราวกับเปลี่ยนกางเกงชั้นใน รักง่ายหน่ายเร็ว เข้าทำนอง ‘หล่อเลือกได้’



เทียนและกระเช้าได้เจอกันโดยบังเอิญในวันแรกที่เธอเข้ามาทำงาน กระเช้าไม่รู้ว่าเขาเป็นลูกชายเจ้าของที่ควบตำแหน่ง ‘ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาหีบห่อ’ คิดว่าเป็นพนักงานธรรมด๊า....ธรรมดา ซึ่งไม่คู่ควรกับเธอ กระเช้าทำเป็นไม่สนใจ ถึงแม้เทียนจะพยายามเข้ามาทำความรู้จัก กระเช้าทำเริ่ดๆ เชิดๆ ใส่อย่างเหยียดหยัน กระเช้าตอกหน้าเทียนอย่างไม่ไยดี แถมยังด่ากลับไปอีกเป็นชุดก่อนจะสะบัดหน้าเดินหนีไป ทำให้เทียนสะดุดใจกับความเย่อหยิ่งของกระเช้าอย่างแรง



กระเช้าบ่นเรื่องเทียนให้หมี่กรอบฟัง หมี่กรอบชะงักและซักรายละเอียด จนรู้ว่าผู้ชายที่กระเช้ากำลังด่าคือคุณเทียน ลูกชายเจ้าของฟาร์ม กระเช้าถึงกับอึ้ง...เหวอ...คาดไม่ถึงว่าผู้ชายขี้หลี ไม่มีมารยาท จะเป็นชายในฝันที่เธอกำลังตั้งใจจับ โอ้วววว...คุณพระ...กระเช้าเศร้าใจอย่างแรง และสุดจะสับสนว่าเธอควรจะทำยังไงต่อไปดี อาการสติแตกทำให้หมี่กรอบรู้ว่าเพื่อนรักกำลังคิดการณ์ใหญ่ และแสนจะอันตราย เพราะเทียนขึ้นชื่อเรื่องเสือผู้หญิง ‘Fun แล้วทิ้ง’ มานักต่อนัก หมี่กรอบพยายามจะเตือนกระเช้าให้เลิกสนใจเทียน เพราะไม่ดีกับตัวเอง แต่กระเช้าไม่ยอมล้มเลิก โดยให้เหตุผลว่า...ต้องทำเพื่อแม่ !! หมี่กรอบเข้าใจแต่ก็หนักใจในคราวเดียวกัน



ทางด้านเทียน....เขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองตกหลุมรักความเย่อหยิ่งของผู้หญิงที่ชื่อกระเช้าเข้าอย่างจัง พยายามจะสืบที่มาที่ไป และคิดว่าจะต้องรวบหัวรวบหางหาทางเอาชนะเธอให้ได้ เทียนสืบจนรู้ว่ากระเช้าทำงานอยู่แผนกดูแลกล้วยไม้ มีเพื่อนสนิทชื่อหมี่กรอบ หัวหน้าคนงานที่อายุน้อยที่สุด เทียนแอบดูกระเช้าอยู่สักพักจนแน่ใจว่าสวยจริง หยิ่งจริง (เพราะเชิดใส่คนงานทั้งไร่ เนื่องจากจน) ยิ่งทำให้เทียนสนใจในตัวกระเช้ามากขึ้น



ส่วนกระเช้าหลังจากหน้าแหกยับเยินจากการเชิดใส่เทียน เธอจึงหาทางเข้าหาเขาโดยไม่ให้เสียฟอร์ม และโชคชะตาก็เข้าข้างเธอ เมื่อทางฟาร์มจัดการประกวด ‘เทพีกล้วยไม้’ (Miss Orchid) เพื่อคัดเลือกสาวงามเป็นตัวแทนในงาน Orchid Expo กระเช้าไม่ลังเลที่จะส่งตัวเองเข้าประกวด หวังใช้ตำแหน่งเป็นบันไดให้ตัวเองได้มีโอกาสใกล้ชิดเทียน ทั้งที่หมี่กรอบไม่ค่อยเห็นด้วย แต่ก็ต้องคอยช่วยด้วยความรักและห่วงเพื่อน



ในการประกวดมิสออร์คิด กระเช้าสวยเด้งอย่างแรง จนหนุ่มๆ ในงานส่งเสียงเชียร์ดังกระหึ่ม ยกเว้นแต่ ‘เทียน’ ที่นั่งนิ่งขรึมในฐานะกรรมการ เทียนในวันนี้ดูแตกต่างจากเทียนที่เธอเห็นในวันแรกมากมาย แววตาขรึม น่าเกรงขาม มองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า กระเช้าคิดว่าเขาคงจะโกรธที่เธอเหวี่ยงใส่ไปเมื่อวันก่อน กระเช้าจึงพยายามโปรยเสน่ห์สารพัด จน (คนที่เธอคิดว่าเป็น) เทียนรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ไม่มีความเป็นกุลสตรีเอาซะเลย



บันไดขั้นที่หนึ่งของกระเช้าก็เริ่มทอดตัว เมื่อมงกุฎมิสออร์คิดถูกสวมลงบนศรีษะของเธอโดย (คนที่เธอคิดว่าเป็น) เทียน กระเช้าใช้มารยาสาไถยทำเป็นดีใจจนเป็นลมอยู่ในอ้อมแขนของเทียน มีหลายคนจับภาพไว้ได้ แต่เทียนรู้ว่าเป็นมารยา หลังจากพาเธอมาหลังเวที เขาพยาบาลจนเธอมีสติ ในจังหวะที่อยู่กันสองต่อสอง กระเช้าพยายามจะหว่านเสน่ห์แบบถึงเนื้อถึงตัว (ถึงแม้จะเขินๆ แต่ก็ต้องยอมทำ)



ในระหว่างที่กระเช้ากำลังหว่านเสน่ห์กับ (คนที่เธอคิดว่าเป็น) เทียน...หมี่กรอบรออยู่ในงาน ทันใดนั้นเทียน (ตัวจริง) ก็ปรากฎตัวขึ้น...เทียนเดินมาหาหมี่กรอบและถามหากระเช้า หมี่กรอบงงๆ เล็กน้อยเพราะกระเช้าหายไปกับเขา เทียนปฎิเสธเสียงแข็ง หมี่กรอบก็ยืนยันเสียงหนักแน่น ทั้งสองคนคุยกันไม่รู้เรื่องจนเกือบจะกลายเป็นทะเลาะกันอยู่สักพัก หมี่กรอบเริ่มเอะใจและฉุกคิดถึงความจริงอันแสนสำคัญยิ่งที่เธอลืมไปสนิทใจ นั่นคือ เทียนมีฝาแฝดที่หน้าเหมือนกันราวกับแกะ...และผู้ชายคนที่อยู่กับกระเช้าเพื่อนรักนั้นไม่ใช่เทียนแต่เป็น ธูป (อรรคพันธ์ นะมาตร์) เจ้านายที่แสนเคร่งขรึม ถือตัว และดูถูกผู้หญิงที่วิ่งไล่จับผู้ชาย ซึ่งแตกต่างจากเทียนราวกับหน้ามือกับหลังมือ ทันทีที่หมี่กรอบคิดได้ เธอรีบชิ่งจากเทียน และตามหากระเช้าเพื่อบอกความจริง



แต่มันสายเกินไป....กระเช้างัดมารยาหญิงมากกว่าร้อยเล่มเกวียนมาใช้กับ ‘ธูป’ เพราะคิดว่าเขาเป็นเทียน ยิ่งกระเช้าหว่านเสน่ห์งัดเล่ห์มารยาหญิงมาใช้มากเท่าไหร่ ธูปก็ยิ่งไม่ชอบขี้หน้าและคิดว่าเธอตั้งใจจะจับน้องชายฝาแฝดของเขามากเท่านั้น ในขณะที่กระเช้ายิ่งหมั่นไส้และไม่เข้าใจว่าทำไมเทียนถึงดูมึนตึงและพูดจากวนประสาทเธอตลอดเวลา และแล้ว...ปริศนาทั้งหมดก็ถูกเปิดเผย เมื่อหมี่กรอบโผล่ถลาเข้ามาในห้องและแนะนำให้กระเช้ารู้จักกับธูป...พี่ชายฝาแฝดของเทียน กระเช้าถึงกับอึ้งเหวอ...ไปชั่วอึดใจ หมี่กรอบรีบลากตัวเพื่อนสาวออกมาก่อนที่ทุกอย่างจะยิ่งแย่ลงไป



การพบกันครั้งนี้ทำให้ธูปผูกใจคิดว่ากระเช้าเป็นผู้หญิงมักใหญ่ใฝ่สูง ใจง่าย และหากินกับการจับผู้ชายรวยๆ ในขณะที่กระเช้าเองทั้งเสียใจและเสียหน้า จนแทบจะกัดลิ้นตัวเองตาย เพราะเผลอปล่อยไก่ไปตัวเบ้อเร่อ ประกอบกับข้อมูลที่หมี่กรอบบอกเธอเกี่ยวกับนิสัยของธูปที่แสนจะตรงกันข้ามกับเทียน ยิ่งทำให้เธออยากกระโดดกัดคอเพื่อน โทษฐานไม่ยอมบอกข้อมูลนี้ตั้งแต่แรก



ในขณะที่เทียนยังเข้าใจว่ากระเช้าเป็นผู้หญิงเชิดหยิ่ง จึงต้องทำการจีบอย่างแยบยล เทียนคิดไปคิดมา และเห็นว่าเข้าทางหมี่กรอบน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด



เทียนเรียกหมี่กรอบมาล็อบบี้ เขายื่นข้อเสนอว่าถ้าช่วยจีบกระเช้าได้สำเร็จ เขาจะปูนบำเหน็จให้อย่างงาม เทียนยังบอกอีกว่าสิ่งที่ทำให้เขาสนใจกระเช้า คือความเย่อหยิ่ง หมี่กรอบถึงกับอึ้ง และก็ตอกเทียนกลับไปว่าเธอไม่มีวันจะขายเพื่อน หรือใช้เพื่อนเป็นบันไดสู่ความสำเร็จ และถ้าหากเขาไม่พอใจเธอ และยังไล่เธอออก เธอจะไปฟ้องกระทรวงแรงงาน เทียนจำใจต้องยอม และเปลี่ยนจากบังคับมาเป็นขอความเห็นใจ เทียนออดอ้อนแต่หมี่กรอบยังใจแข็งไม่ช่วย แถมยังทิ้งท้ายว่า ถ้าแน่ใจว่ารักจริง ก็ต้องพยายามเอาเอง เทียนสุดเซ็งและแอบเขม่นหมี่กรอบอยู่ในใจ



หมี่กรอบรีบมาบอกกระเช้าว่าเทียนสนใจ เพราะคิดว่าเธอหยิ่ง กระเช้าก็มึนงงๆไป หมี่กรอบเลยบอกว่าถ้าอยากได้เทียน ก็ต้องทำตัวหยิ่งๆไว้ อย่ายอมง่ายๆ ไม่งั้นเขาจะเลิกสนใจทันที กระเช้านึกดีใจที่เทียนยังไม่เห็นอาการอ่อยเหยื่อของเธอ แต่ถ้าธูปบอกเทียน เขาอาจจะเปลี่ยนใจก็เป็นได้ หมี่กรอบบอกว่าไม่ต้องห่วง เพราะธูปกับเทียนไม่ค่อยถูกกัน เนื่องจากธูปคิดว่าเทียนเอาแต่รักสนุก และเจ้าชู้ไปวันๆ ส่วนเทียนก็หมั่นไส้ที่พ่อกับแม่ไว้วางใจธูปมากกว่าตัวเอง เพราะฉะนั้นเป็นไปได้ยากถ้าเทียนจะเชื่อคำพูดของธูป แต่ถึงอย่างนั้นกระเช้าก็ยังรู้สึกไม่ดีที่เธอปล่อยไก่ใส่หน้าธูปไปตัวเบ้อเร่อ



ด้วยความเก้อเขินครั้งยิ่งใหญ่ ทำให้กระเช้าแอบถอดใจ อยากจะลาออก แต่ด้วยตำแหน่งมิสออร์ดิคที่ได้มา ทำให้เธอต้องทำงานร่วมกับธูป ในฐานะนางงามประชาสัมพันธ์ประจำฟาร์ม กระเช้าต้องเข้ารับการฝึกอบรมเกี่ยวกับข้อมูลกล้วยไม้ในฟาร์ม เพื่อนำไปประชาสัมพันธ์ในวันงาน กระเช้าจำต้องกล้ำกลืนฝืนใจทำงานร่วมกับธูป



ความอลวน แสนอลหม่านเริ่มขมวดปมแน่นขึ้นเมื่อ....

กระเช้าต้องฝืนทำงานกับธูป เจ้านายจอมเฮี้ยบที่จ้องจับผิดเธอตลอดเวลา ในขณะเดียวกันยังต้องคอย ระวังหลัง เพราะ ทับทิม (พรรัมภา สุขได้พึ่ง) เลขาของธูปคอยกระแหนะกระแหน แอบแทงข้างหลังกระเช้าอยู่ตลอดเวลา ทับทิมเป็นคนสวย ฉลาด และร้ายลึก ทับทิมแอบชอบธูปและหวังสูงคิดว่าสักวันธูปจะหันมาสนใจ แต่เมื่อกระเช้าเข้ามาใกล้ชิดกับธูป ทำให้ทับทิมต้องคอยสะกัดดาวรุ่ง ไม่ยอมให้กระเช้าดูดีในสายตาธูปเป็นอันขาด แรงยุของทับทิมยิ่งทำให้ธูปเข้าใจผิด คิดว่ากระเช้าเป็นสาวมักใหญ่ใฝ่สูงหนักขึ้นไปอีก



ธูปใช้ความเฮี้ยบ เนี้ยบ บีบกระเช้าต่างๆ นานา พยายามให้เธอทำงานหนัก จำข้อมูลยากๆ หวังว่าเธอจะท้อและขอถอนตัว แต่ยิ่งธูปแกล้งเธอมากเท่าไหร่ กระเช้าก็ยิ่งสู้ตายมากเท่านั้น กระเช้าแสดงให้เขาเห็นว่า ถึงเธอจะสมองไม่ดี แต่มีความตั้งใจ และไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ ในขณะเดียวกันกระเช้ายังเป็นคนมีรสนิยมโดยธรรมชาติมีพรสวรรค์ในการแต่งตัว สามารถทำให้ตัวเอง และคนรอบข้างดูดีได้ในทุกสถานการณ์ กระเช้าใช้ความสามารถในการแต่งตัวทำให้ธูป บุปผา และศีล เห็นกระเช้าในเวลาที่ออกงานสังคมหลายครั้ง ทำให้บุปผาถูกอกถูกใจในความน่ารักของกระเช้า แต่ธูปก็ยังไม่ยอมรับเพราะอคติที่ฝังใจในครั้งแรกที่เจอกัน (ถึงแม้ลึกๆ จะเริ่มประทับใจและเห็นความไม่ธรรมดาก็ตาม)



ส่วนเทียนไม่พอใจนักที่กระเช้าต้องใกล้ชิดกับธูป ถึงแม้จะเป็นเพราะงาน แต่เขาก็แอบระแวงพี่ชายตัวเองไม่ได้ ธูปย้ำว่าเขาไม่มีวันสนใจผู้หญิงแบบกระเช้า แต่เทียนก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดี เทียนพยายามตามจีบกระเช้า ในขณะที่กระเช้าต้องทำเป็นเริ่ดๆ เชิดๆ ใส่ (ตามคำแนะนำของหมี่กรอบ) ยิ่งกระเช้าหยิ่งใส่มากเท่าไหร่ เทียนก็ยิ่งชอบเธอมากเท่านั้น แม้ธูปจะพยายามบอกว่ามันเป็นมารยาของกระเช้า แต่เขาก็ไม่เชื่อ ยังเพียรจีบกระเช้าหนักขึ้นเรื่อยๆ สาวๆหลายคนเริ่มเขม่นกระเช้า ทำให้หมี่กรอบต้องคอยช่วยปกป้องอยู่ตลอดเวลา



หมี่กรอบเองก็เริ่มเป็นห่วงเพื่อนรัก แต่ทุกอย่างมาไกลเกินกว่าที่เธอจะห้าม นอกจากคอยช่วยประคับประคองไม่ให้เพื่อนต้องเดือดร้อนมากไปกว่านี้ ขณะเดียวกันยังต้องคอยเป็นที่ปรึกษาของเทียนในการจีบกระเช้า ยิ่งเทียนปรึกษาหมี่กรอบมากเท่าไหร่ เธอยิ่งเห็นเสน่ห์ของเทียนมากเท่านั้น ความเป็นคนมีอารมณ์ขัน และเป็นกันเองของเขา ทำให้เธอแอบหวั่นไหวขึ้นเรื่อยๆ นอกจากต้องคอยเป็นที่ปรึกษาแล้วหมี่กรอบยังต้องคอยเป็นจราจรเฉพาะกิจ คอยสับรางสาวๆให้เทียนโดยเฉพาะกลุ่มนางแบบอันประกอบไปด้วยเอแคลร์ (อินทิรา เกตุวรสุนทร) , ปาร์ตี้ (กัญญกร พินิจ) และ แบมบี้ (อธิชนัน ศรีเสวก) สามบอมบ์ ที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนมาสร้างความวุ่นวายในฟาร์มไม่เว้นแต่ละวัน หมี่กรอบต้องคอยกันไม่ให้สาวๆมาเจอกับกระเช้า ทำให้เทียนเริ่มเห็นความเฉลียวฉลาด และความเป็นคนมีไหวพริบเป็นเลิศของหมี่กรอบ แต่เขาก็ยังคิดกับเธอแค่เจ้านายกับลูกน้องอยู่ดี ถึงแม้บางมุมเขาจะแอบเห็นความสวยคม แต่ด้วยความมอมแมมก็ยากเกินกว่าที่เขาจะยอมรับได้



นอกจากความอลวนของธูป เทียน กระเช้า และหมี่กรอบแล้ว ธุรกิจกล้วยไม้ของครอบครัวแสวงบุญ ยังต้องต่อกรกับศัตรูคู่แข่งที่สำคัญ นั่นคือ ‘ฟาร์มกล้วยไม้ดารา’ ของ ดารา รัศมีเรืองรอง (สุพรรษา เนื่องภิรมย์) หม้ายสาววัย ๕๐ นักธุรกิจผู้สนใจเม็ดเงินมากกว่าความสวยงามของกล้วยไม้...สมชัย สามีของเธอเคยเป็นเพื่อนสนิทของศีล แต่ร่างกายอ่อนแอจึงเสียชีวิตไปตั้งแต่ยังหนุ่ม หลังจากสิ้นบุญสามี ดาราเข้ามาคุมธุรกิจแทน เปลี่ยนชื่อจาก ‘กล้วยไม้สมชัย’ เป็น ‘กล้วยไม้ดารา’ และเปลี่ยนฐานะจากเดิมที่เคยเป็นพันธมิตรกับฟาร์ม ‘ราชินีกล้วยไม้’ ก็กลับกลายเป็นศัตรูคู่แข่งตัวฉกาจ



ดาราเป็นคนใจคอคับแคบ เห็นแก่ตัว และแพ้ไม่เป็น เธอมีลูกชายหัวแก้วหัวแหวน คือ อิทธิเดช (พูลภัทร อัตถปัญญาพล) หนุ่มเจ้าสำอางที่โดนตามใจมาตั้งแต่เด็ก อิทธิเดชได้ทุกอย่างที่เขาต้องการ ยกเว้น ความเป็นที่หนึ่งในการจัดอันดับทายาทฟาร์มกล้วยไม้ไทย เพราะทุกสำนักเซเลปต่างยกให้ธูปและเทียนมาเป็นที่หนึ่ง ทำให้อิทธิเดชอิจฉาและต้องการเอาชนะทั้งสองคนให้ได้



สองคนแม่ลูกทำสิ่งชั่วๆ มากมายเพื่อทำลายฟาร์มราชินีกล้วยไม้ โดยมี บัญชา (วิภพ บางยี่ขัน) หัวหน้าคนงาน ไม้เบื่อไม้เมาของหมี่กรอบ เป็นหนอนบ่อนไส้ คอยส่งข่าวและบ่อนทำลายฟาร์มด้วยวิธีต่างๆ นานา ไม่ว่าจะเป็นวางยา ปล่อยแมลง ปลุกปั่นพนักงาน ขโมยพันธุ์กล้วยไม้ ขายความลับทุกอย่างให้กับฟาร์มดารา เพื่อแลกกับเงิน



นอกจากบัญชาแล้วยังมีอีกหนึ่งหนอนที่หลายคนคาดไม่ถึง นั่นก็คือ ‘ทับทิม’ เลขาของธูป กิ๊กเก่าของอิทธิเดชที่เปลี่ยนใจมากรี๊ดธูปแทน ทับทิมเป็นคนคอยส่งข่าวเชิงลึกให้อิทธิเดช แต่ในช่วงหลังๆ เมื่อความลุ่มหลงในตัวธูปมีเพิ่มมากขึ้น ทับทิมก็เริ่มกระด้างกระเดื่อง ทำให้ดาราไม่พอใจแต่ยังต้องเลี้ยงไว้ เพราะลงทุนไปมาก



ความวุ่นวายในฟาร์มไม่มีที่ท่าจะจบสิ้น....

ณ อีกมุมหนึ่งของประเทศไทย...จวงจิตกับเจ๊ปิ่นทอง ยังหาเรื่องตบตีกันอยู่อย่างต่อเนื่อง ทำให้จวงจิตต้องหอบเสื้อผ้าและน้ำตามาหาลูกสาวสุดที่รัก การมาของจวงจิตทำให้กระเช้าต้องเดือดร้อนอยู่อย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นอาการเมา หลุด รั่ว และไถเงินลูก แถมยังกดดันให้กระเช้ารีบรวบหัวรวบหางเทียน ทำให้กระเช้าอึดอัดใจเป็นอย่างมาก และเมื่อความอดทนมาถึงขีดสุด กระเช้าถึงกับระเบิดความในใจออกมาทั้งน้ำตา เธอบอกเหตุผลที่พ่อทิ้งแม่ไม่ใช่เพราะความจน ความรวย แต่เพราะแม่เอาแต่กินเหล้า ไม่ดูแลตัวเอง ไม่ดูแลครอบครัว ชอบหาเรื่องคนอื่นไปทั่วทั้งตลาด ทำให้พ่อทนไม่ได้ ทิ้งไปหาคนอื่น และถ้ายังไม่เปลี่ยนแปลงตัวเอง เธอก็จะทิ้งจวงจิตไปอีกคน



คำพูดของกระเช้ากระซวกใจจวงจิตอย่างแรง ทำเอาจวงจิตตบะแตก ประกาศตัดแม่ตัดลูกกันอย่างไม่เหลือเยื่อใย เสร็จแล้วก็หอบเสื้อผ้ากลับไปบ้านนอกด้วยความชอกช้ำใจ



กระเช้าร้องไห้อย่างหนัก รู้สึกผิดที่หลุดปากต่อว่าบุพการี โดยหารู้ไม่ว่า ธูปแอบได้ยินทั้งหมด เขารู้สึกเข้าใจและเห็นใจกระเช้าขึ้นมาทันที



หลังเหตุปะทะกันครั้งนี้ ทำให้ท่าทีของธูปเปลี่ยนไป เขาใจเย็น และใจดี แถมยังมีน้ำใจกับกระเช้ามากขึ้น จนกระเช้าเริ่มสับสน ความดีของธูปทำให้ทับทิมเริ่มไม่ไว้วางใจ กลัวว่าธูปจะมีใจให้กับกระเช้า



ทับทิมตัดสินใจหันไปยุเทียน บอกว่าธูปเริ่มมีใจให้กระเช้า ทำให้เทียนร้อนใจรีบมาปรึกษากับหมี่กรอบ ทั้งสองคนจับตาดูพฤติกรรมของกระเช้าและธูปอย่างใกล้ชิด จนทั้งสองคนเห็นชัดว่าธูปเริ่มมีใจให้กระเช้าอย่างเห็นได้ชัด หมี่กรอบเองก็เริ่มรู้สึกว่ากระเช้าแอบมีใจให้ธูปอยู่ไม่น้อย



นอกจากนี้อิทธิเดชยังคอยตามตื้อกระเช้า เพราะได้ข่าวจากทับทิมว่า ธูปและเทียนต่างหมายปองเธอ ทำให้อิทธิเดชสนใจตามจีบด้วยอีกหนึ่งคน เพราะถ้ากระเช้าเลือกเขา เท่ากับได้หักหน้าทั้งสองคน



ทั้งอาการผิดปกติของธูป และอิทธิเดชยังมาตามตื้อกระเช้าอีก...ทำให้เทียนเริ่มหวั่นใจ เห็นท่าไม่ค่อยดี ประกอบกับไม่อยากเสียหน้าที่ต้องถูกธูปแย่งสาวไปต่อหน้าต่อตา เทียนจึงตัดสินใจขอหมั้นกับกระเช้าแบบสายฟ้าแลบ ด้วยความตกใจและคาดไม่ถึง ทำให้กระเช้ารับปากหมั้นไปโดยลืมถามใจตัวเอง



ข่าวการหมั้นของกระเช้ากระจายออกไปอย่างรวดเร็ว...

คนแรกที่รู้ข่าว คือธูป เขารู้สึกจุก อึ้ง ใจหายแปลกๆ แอบเสียใจโดยไม่รู้ตัว ทับทิมได้ทีรีบยุธูปว่ากระเช้าเป็นคนวางแผนเองทั้งหมด ประกอบกับเทียนมาบอกว่ากระเช้าเป็นคนขอหมั้นเอง เพื่อต้องการเอาชนะพี่ชาย ทำให้ธูปยิ่งเข้าใจผิด คิดว่ากระเช้าคงจะทำตามที่แม่สอน และเธอคงไม่ได้เป็นคนดีที่น่าสงสารอย่างที่เขาเข้าใจ



ทางด้านหมี่กรอบ...เธอรู้สึกใจหายวาบ และน้ำตาตกใน ทันทีที่รู้ข่าวการหมั้น ในวินาทีนั้นเธอตอบกับตัวเองได้ทันทีว่า เธอตกหลุมรักหนุ่มเสเพลอย่างเทียนเข้าแล้ว หมี่กรอบเริ่มเก็บตัวเงียบ พูดน้อยลง และอยู่ห่างจากกระเช้ากับเทียนมากขึ้น จนทั้งสองคนเริ่มรู้สึกได้



อิทธิเดชโดนดาราเร่งรัดให้จัดการทำลายฟาร์มราชินีกล้วยไม้สักที เพราะตอนนี้ในฟาร์มดาราเกิดโรคระบาด ทำให้กล้วยไม้เสียหายจำนวนมาก ดาราไม่อยากให้ฟาร์มของศีลได้รับผลประโยชน์จากความเสียหายของตัวเอง เข้าทำนอง “ถ้าฉันไม่มีความสุข อย่าหวังว่าคนอื่นจะมีความสุข” จึงมาเร่งรัดลูกชายให้คิดแผนชั่วด่วน อิทธิเดชรับคำสั่งและคิดวางแผนร้ายในทันที



ในขณะที่ครอบครัวเรืองรองรัศมีคิดแผนทำลายธุรกิจกล้วยไม้ฝั่งตรงข้าม ครอบครัวแสวงบุญกำลังชุลมุนกับการจัดงานมงคล



เทียนพยายามจะให้หมี่กรอบช่วยเป็นแม่งานในการหมั้น แต่เธอปฎิเสธด้วยความเย็นชา สาวๆ มาอาละวาดเทียน หมี่กรอบก็ไม่ช่วยเหมือนเดิม จนเขาเริ่มรู้สึกเหมือนชีวิตขาดอะไรบางอย่างไป



กระเช้าเอง แทนที่จะดีใจกับความฝันที่ใกล้จะเป็นจริง แต่เธอกลับรู้สึกไม่ตื่นเต้น ไม่ดีใจ แถมยังเศร้าๆ เซ็งๆ ทุกครั้งที่ต้องเตรียมงานหมั้น ทั้งที่ศีลและบุปผาต่างให้การต้อนรับเป็นอย่างดี มีเพียงแต่ธูปที่เย็นชาใส่เธอ กระเช้าพยายามจะถามหาความจริง แต่ธูปก็ปิดปากเงียบ ปั้นปึ่ง เป็นเจ้าชายหิมะใส่ และเธอยังโดนทับทิมกีดกันต่างๆนานา ไม่ยอมให้มีโอกาสได้ปรับความเข้าใจกัน แถมหมี่กรอบยังตีตัวออกห่างโดยไม่ทราบสาเหตุทำให้กระเช้าเศร้าหนัก แต่ไม่รู้จะหันหน้าไปหาใคร



ทางด้านจวงจิตทันทีที่รู้ข่าวการหมั้น เธอรีบไปอวดเจ๊ปิ่นทองทันที ทำให้เกิดการตบตีครั้งมโหฬาร จนชิดชัยต้องเข้ามาเคลียร์ จวงจิตได้โอกาสถามถึงสาเหตุที่ทำให้ชิดชัยทิ้งไป ว่าเป็นจริงตามที่กระเช้าบอกหรือไม่ ชิดชัยโดนรุกหนักจนต้องตอบความจริง เขาสารภาพว่าทุกวันนี้ยังรักจวงจิตอยู่ แต่ความขี้เมา ไม่เอาไหนของเธอ ทำให้เขารับไม่ได้ และมาหาปิ่นทอง ทั้งที่ไม่ได้รัก ประกอบกับปิ่นทองยื่นข้อเสนอว่าถ้ายอมมาอยู่ด้วยจะไม่ยึดไร่ที่เป็นมรดกตกทอด ชิดชัยจึงจำใจต้องมา จวงจิตถามว่า ถ้าเธอปรับปรุงตัว ชิดชัยจะยอมกลับมาหรือเปล่า ชิดชัยไม่ให้คำตอบ แต่บอกว่าถ้าปรับตัวได้จริงๆ ค่อยมาว่ากัน



จวงจิตกลับมาคิดทบทวน และตัดสินใจเลิกเหล้าอย่างเด็ดขาด หันมาดูแลตัวเองตามที่กระเช้าเคยแนะนำไว้ เมื่อจวงจิตเริ่มเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น เธอเดินทางมาหากระเช้าอีกครั้ง เพื่อขอโทษ และให้กำลังใจลูกสาว และทันทีที่กระเช้าเห็นหน้าแม่ กระเช้าถึงกับร้องไห้และระบายความอึดอัดทั้งหมดออกมาอย่างหมดเปลือก



กระเช้าสารภาพกับแม่ว่า เธอสับสนและไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่ดีใจที่ได้หมั้นกับเทียน และเธอรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง เวลาที่อยู่กับเขา เธอรู้สึกว่าเขาไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเธอ ถึงแม้แผนการณ์จับครั้งนี้จะสำเร็จ แต่เธอไม่ดีใจเลย กระเช้าสารภาพอย่างหมดเปลือก โดยไม่รู้ว่า ‘แบมบี้’ สาวร้ายที่ตามจิกเทียนอยู่นั้นจะแอบฟังอยู่ และอัดเสียงเธอไว้ทั้งหมด



แบมบี้เอาคลิปเสียงไปให้เทียนฟัง แต่แทนที่เทียนจะแสดงอาการโกรธแค้น เขากลับทำทีเป็นไม่เชื่อ และไล่ให้แบมบี้กลับไป ทั้งที่ในใจจริงๆ นั้นแสนจะเสียใจและสับสน เทียนต้องการรู้ว่าตัวตนจริงๆ ของกระเช้าเป็นอย่างไรกันแน่



หลังจากที่แบมบี้อารมณ์เสียที่โดนเทียนตอกมาหน้าแตก เธอยังไม่หยุดที่จะทำลายกระเช้า แบมบี้นำคลิปเสียงไปฟ้องศีลและบุปผาโดยมีทับทิมเป็นคนประสานงาน ทั้งแบมบี้และทับทิมต่างเป่าหูทั้งสองคนจนเริ่มหวั่นไหว ศีลและบุปผาเรียกตัวธูปมาปรึกษา เพื่อสืบหาความจริง ธูปสารภาพว่ารู้ถึงที่มาที่ไปของกระเช้าเป็นอย่างดี บุปผาร้อนใจกลัวว่าเทียนจะถูกหลอก จึงขอร้องให้ธูปช่วยทำให้เทียนตาสว่างโดยด่วน



หมี่กรอบเอง เห็นความเปลี่ยนไปของกระเช้า ทั้งที่งานหมั้นใกล้เข้ามา แต่กระเช้ากลับไม่ดีใจแม้แต่น้อย หมี่กรอบเปิดอกพูดกับกระเช้าอย่างตรงไปตรงมา และบอกว่าให้ถามใจตัวเองให้ดีว่าต้องการหมั้นจริงหรือไม่ กระเช้าใช้เวลาทบทวนไม่นาน ก็ตอบตัวเองได้ว่า เธอไม่ได้รักเทียน แต่คนที่เธอรักจริงๆ นั่นคือธูป ชายเฮี้ยบผู้เงียบขรึม



ขณะที่กระเช้าเริ่มรู้ใจตัวเอง ธูปตัดสินใจมาคุยกับเทียนแบบเปิดอกเช่นกัน และแล้วเทียนก็สารภาพว่าเริ่มไม่แน่ใจกับตัวตนที่แท้จริงของกระเช้า และอยากรู้ว่าเธอเป็นคนยังไงกันแน่



ธูปเสนอแผนลองใจกระเช้าขึ้นมาอย่างแยบยล...

ในคืนก่อนวันหมั้น ทางฟาร์มประกาศให้พนักงานหยุดงานครึ่งวันบ่าย เพื่อเป็นเสมือนของขวัญให้พนักงานได้พักผ่อน เย็นวันนั้น ธูปนัดให้กระเช้ามาเจอกันเป็นการส่วนตัวในฟาร์มกล้วยไม้ โดยบอกว่าเขาต้องการจะพูดเรื่องส่วนตัวกับเธอเป็นครั้งสุดท้าย กระเช้าตอบรับในทันที !



ทับทิมล่วงรู้ถึงการนัดหมายในครั้งนี้จึงมาบอกอิทธิเดช แผนร้ายที่เตรียมการณ์ไว้จึงเริ่มในทันที อิทธิเดชให้บัญชาโทรหากระเช้าก่อนถึงเวลานัด และแกล้งทำเป็นว่าขอความช่วยเหลือให้ขนกล้วยไม้ชุดใหม่ที่เพิ่งสั่งมาเข้าไปในโรงเพาะชำ เพราะพนักงานของเขาลางานกันหมด และเขาไม่สบาย อยู่โรงพยาบาล ด้วยความเห็นใจ กระเช้าจึงขนกล้วยไม้ชุดนั้นเข้าไปโรงเพาะโดยไม่รู้ว่ามันคือกล้วยไม้ติดเชื้อจากฟาร์มดารา



ขณะที่ดาราและอิทธิเดชกำลังดีใจที่แผนร้ายเริ่มต้นได้อย่างสวยงาม รออีกไม่นาน กล้วยไม้ของศัตรูก็จะต้องเจ็บป่วยล้มตายเช่นเดียวกัน



หมี่กรอบรู้สึกเห็นใจเทียนที่ต้องหมั้นกับกระเช้า ทั้งที่กระเช้าไม่ได้รัก เธอพยายามจะบอกแบบอ้อมๆ แต่ยิ่งพูดยิ่งทำให้เทียนเข้าใจผิด จนเกิดเป็นปากเสียงกัน หมี่กรอบน้อยใจ ตัดสินใจไม่พูด และประกาศว่าจะไม่สนใจอีกเลย ทำให้เทียนจ๋อยๆไปเล็กน้อย



คืนวันนัดมาถึง เทียนปลอมตัวเป็นธูปและไปตามนัด เทียนมาในมาดของความนิ่งขรึม และพูดกับกระเช้าแบบตรงไปตรงมา บอกว่าเขารู้ว่ากระเช้าต้องการจับเทียน และดีใจด้วยที่ทำได้สำเร็จ คำพูดถากถางกึ่งประชดทำให้กระเช้าเสียใจ และยอมรับออกมาตรงๆ ว่าเธอต้องการจับเทียน และเธอก็ไม่ใช่คนเริ่ด เชิด หยิ่ง เธอทำเพราะรู้ว่าจะทำให้เทียนสนใจ เทียนถึงกับจุกอึ้ง...แต่สิ่งที่ทำให้เขาอึ้งยิ่งกว่า...คือกระเช้าสารภาพว่าแท้จริงแล้ว เธอชอบธูป เธอรู้สึกสบายใจ เป็นตัวของตัวเอง เวลาที่อยู่กับเขา สิ่งที่ทำให้เธอตัดสินใจมาในคืนนี้เพราะต้องการบอกความจริงให้รู้ ก่อนที่เธอจะไปขอยกเลิกงานหมั้นกับเทียน คำสารภาพของกระเช้า ทำให้เทียนถึงกับจุก...และค่อยๆ ตอบออกมาว่า แท้จริงแล้ว...เขาไม่ใช่ธูปแต่เป็นเทียน และเขายินดีจะยกเลิกงานหมั้นในวันพรุ่งนี้ พูดจบ เทียนก็เดินจากไปด้วยความผิดหวัง และเสียใจจนเกินกว่าจะอธิบาย



เคราะห์ซ้ำกรรมซัดใส่กระเช้า หลังจากที่งานหมั้นล้มไม่เป็นท่า ฟาร์มกล้วยไม้ก็เกิดอาการติดเชื้อไวรัสครั้งมโหฬาร จากภาพวงจรปิด ชี้ชัดว่ากระเช้าเป็นคนเอากล้วยไม้ชุดติดเชื้อเข้าไปในโรงเพาะ และบัญชาก็รีบสร้างเรื่องว่าเป็นคนละชุดกับที่เขาสั่งให้นำเข้าไป และเขาก็ไม่รู้ว่าชุดที่ติดเชื้อมาได้ยังไง ทับทิมรีบสาระแนเป่าหูศีล บุปผา และธูป บอกว่าอาจจะเป็นไปได้ที่กระเช้าเป็นไส้ศึกที่ถูกส่งเข้ามา เพราะตั้งแต่มีกระเช้า เรื่องวุ่นวายก็เข้ามาสารพัด โชคดีที่เทียนไม่เชื่อ และเป็นคนเดียวที่ออกโรงปกป้องไม่ให้ไล่กระเช้าออก จนกว่าจะหาหลักฐานได้ว่ากระเช้าถูกจ้างวานมาจริง และบัญชาเองก็ต้องถูกคาดโทษเช่นเดียวกัน



กระเช้ารู้สึกเสียใจและอับอายกับสิ่งที่เกิดขึ้น กระเช้าตัดสินใจคืนมงกุฎมิสออร์คิดให้กับบริษัท และเก็บเสื้อผ้าเตรียมกลับไปบ้านนอก



ธูปพยายามซักไซ้ด้วยความไม่เข้าใจว่าทำไมเทียนยังปกป้องกระเช้า เทียนเองก็พูดไม่ออก บอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่เขาก็มั่นใจว่ากระเช้าไม่มีทางเป็นหนอนบ่อนไส้เพราะเห็นแก่เงิน แต่สำหรับเรื่องส่วนตัว เขาและกระเช้าคงจะจบความสัมพันธ์กันเพียงเท่านี้...ทันทีที่ธูปได้ยิน เขารู้สึกดีใจลึกๆ แต่ไม่แสดงออกมา



เทียนไปปรับทุกข์กับหมี่กรอบ พร้อมกับเล่าเรื่องให้ฟังทั้งหมด หมี่กรอบยอมรับว่าเธอรู้เรื่องแล้ว และพยายามจะบอกเขา แต่เขาไม่รับฟัง เทียนยอมรับว่าเขามั่นใจในตัวเองมากเกินไป และบอกเรื่องยกเลิกงานหมั้น หมี่กรอบดีใจด้วย เพราะไม่อยากให้เขาต้องอยู่กับผู้หญิงที่ไม่ได้รัก เทียนรู้สึกสูญเสียความมั่นใจ และท้อแท้เล็กๆ บ่นๆ ว่าแล้วเขาจะได้เจอคนที่รักเขาจริงหรือเปล่า หมี่กรอบอยากจะบอกความในใจ แต่ก็ไม่กล้า ได้แต่ปิดปากเงียบ ไม่พูดอะไร



เทียนมาส่งหมี่กรอบที่พัก กระเช้าแอบเห็นพอดี พอเทียนขับรถออกไป กระเช้าแอบเห็นรอยยิ้มมีความสุขของหมี่กรอบ กระเช้ารู้ทันทีว่าเพื่อนรักแอบชอบเทียนอยู่ กระเช้าซักไซ้จนหมี่กรอบต้องยอมรับจนได้ กระเช้ารู้สึกดีใจที่ตัวเองปฎิเสธงานหมั้น และรับปากว่าจะช่วยหมี่กรอบให้สมหวังในความรักของเพื่อน ก่อนที่เธอจะจากไป หมี่กรอบเองก็รับปากว่าจะช่วยเคลียร์เรื่องหนอนบ่อนไส้ให้กระเช้า เธอจะต้องหาหลักฐานมายืนยันให้ได้ว่ากระเช้าไม่ได้ตั้งใจที่จะทำลายฟาร์ม และไม่เคยถูกว่าจ้างใดๆ ทั้งสิ้น



หลังจากที่งานหมั้นถูกยกเลิก สาวๆ ที่คอยรุมล้อมเทียนก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง !!

ทั้งแบมบี้ ปาร์ตี้ เอแคลร์ เทียวไปเทียวมาตามจิกเทียนทั้งวัน คราวนี้กระเช้าต้องเป็นคนคอยกันท่าสาวๆ เพื่อเปิดโอกาสให้หมี่กรอบ จนเกิดเป็นเรื่องราววุ่นวายไปทั้งฟาร์ม ทำให้ธูปเข้าใจผิดคิดว่ากระเช้าหวงก้าง จะกั๊กเทียนไว้ หวังว่าเขาจะกลับมา กระเช้าน้ำท่วมปาก บอกความจริงไม่ได้ จำใจต้องยอมทนฟังคำเสียดสีของธูปด้วยความเสียใจ ทำให้เทียนอึดอัดแทน



จากโรคร้ายกล้วยไม้นี้เอง ทำให้ฟาร์มกล้วยไม้สูญเสียมหาศาล กระเช้าเห็นแล้วก็เศร้าใจ อิทธิเดชได้ทีรีบเข้ามาเสียบ ทำทีเป็นเห็นใจกระเช้าและใส่ร้ายว่าคนในฟาร์มใจคอคับแคบ พร้อมกับยื่นข้อเสนอให้ลาออกมาทำงานด้วยกัน จนกระเช้าต้องตอกกลับไปแบบเจ็บๆ หลายต่อหลายครั้ง แต่อิทธิเดชหาได้หยุดไม่ และทุกครั้งที่อิทธิเดชมาตอแยกระเช้า สร้างความไม่พอใจให้ธูปเป็นอย่างมาก เกิดอาการหึงแบบไม่รู้ตัวหลายครั้ง



ในขณะที่ดาราสั่งให้บัญชาดำเนินแผนร้ายขั้นต่อไป นั่นคือ ‘ขโมยพันธุ์กล้วยไม้ใหม่’ ที่ดร. ศีลได้คิดค้นขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นพันธุ์ที่สวยงามและแข็งแรงมาก แต่ทุกอย่างยังเป็นความลับ ไม่มีใครล่วงรู้ ดร.ศีลเตรียมเปิดตัวในอีกไม่นาน ดาราเร่งให้บัญชาขโมยพันธุ์มาให้ได้ ก่อนที่จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ พฤติกรรมลับๆ ล่อๆ ของบัญชาทำให้หมี่กรอบยิ่งสงสัยในตัวเขาเพิ่มมากขึ้น



กระเช้ายอมโดนทุกคนในฟาร์มถากถางด้วยสายตา ในฐานะนางงามตกยากและไส้ศึก และยังต้องกลับมาดูแลฟาร์มกล้วยไม้หลังจากโดนเขี่ยตกจากตำแหน่งนางงามและว่าที่คู่หมั้นของเทียน แต่กระเช้าก็ต้องยอมเพราะอยากเห็นหมี่กรอบสมหวังในรัก ยิ่งกระเช้ายอม เทียนและหมี่กรอบก็ยิ่งสงสาร แม้แต่ธูปเองยังคอยวนเวียนมากลั่นแกล้งเธอเป็นระยะ ทำทีว่าทำไปเพื่อความสะใจ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วอยากอยู่ใกล้ชิดมากกว่า



เทียนเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของธูปที่ทำเป็นปากแข็งบอกว่าไม่สนใจกระเช้า เทียนจึงไม่ยอมบอกความรู้สึกที่แท้จริงของกระเช้า เพราะต้องการจะแกล้งให้ธูปยอมรับความรู้สึกของตัวเองก่อน ยิ่งธูปแกล้งกระเช้ามากเท่าไหร่ เทียนก็ยิ่งแน่ใจว่าพี่ชายรักผู้หญิงคนนี้มากเท่านั้น โดยเฉพาะอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยงเมื่ออิทธิเดชมาตามตื้อกระเช้า ถึงแม้จะอ้างว่าทั้งสองคนต้องวางแผนทำลายฟาร์ม แต่ลึกๆ แล้วเทียนรู้ว่าธูปฉุนเฉียวเพราะความหึง



หมี่กรอบเองพยายามยุให้กระเช้าบอกความรู้สึกกับธูป แต่กระเช้าเห็นว่าไม่มีประโยชน์เพราะธูปไม่มีวันสนใจผู้หญิงอย่างเธอ ที่สำคัญ เธอต้องการพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ใช่คนผิดให้ได้ก่อน จึงจะคิดเรื่องอื่นต่อไป หมี่กรอบตั้งข้อสังเกตว่าบัญชามีพฤติกรรมที่น่าสงสัยหลายอย่าง ทั้งสองคนจึงเริ่มสะกดรอยตามจนพบว่าบัญชาแอบนัดพบกับดาราในวัดแห่งหนึ่ง โดยทำทีเป็นว่าไปทำบุญ หมี่กรอบจึงรีบไปบอกเทียน ทั้งสามคนจึงวางแผนให้กระเช้าพยายามตีสนิทอิทธิเดชเพื่อเอาความจริงมาให้ได้ แต่แผนนี้กลับทำให้ธูปไม่พอใจเพราะคิดว่ากระเช้าชอบอิทธิเดช



ส่วนกระเช้าเองก็หันมายุให้หมี่กรอบประกวดมิสออร์คิดครั้งใหม่ เพื่อหาตัวแทนมาแทนเธอ หมี่กรอบไม่ยอมประกวด หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอม กระเช้าจึงปลุกระดมเพื่อนๆในฟาร์ม คนที่รักและชื่นชมการทำงานของหมี่กรอบรวมตัวกันและสนับสนุนให้หมี่กรอบประกวด ถ้าไม่ประกวด ทุกคนจะหยุดงานประท้วง



การแสดงพลังครั้งนี้ทำให้เทียนเห็นว่าหมี่กรอบเป็นที่ชื่นชอบของเหล่าสาวๆ ในฟาร์มอย่างแท้จริง เขายิ่งชื่นชอบหมี่กรอบมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว ด้วยเสียงเรียกร้องอันล้นหลามทำให้หมี่กรอบยอมใจอ่อนเข้าประกวดในที่สุด



และแล้วการประกวดก็มาถึง...

ครั้งนี้...ทั้งทับทิม ปาร์ตี้ เอแคลร์ แบมบี้ ที่เคยดูถูกว่าเป็นการประกวดกะโหลกกะลาก็ลงประกวดด้วย เพราะหวังจะใช้ตำแหน่งเป็นบันไดสู่การจับธูปและเทียน



ระหว่างที่มีการประกวดนั่นเอง ดาราสั่งให้บัญชาเข้าไปขโมยพันธุ์กล้วยไม้จากห้องทดลองของดร.ศีล บัญชาทำตามคำสั่งโดยไม่มีคนสงสัย



คู่แข่งทั้งสวยทั้งเซ็กซี่ทำให้หมี่กรอบเริ่มหวั่นใจ แต่ด้วยฝีมือและพรสวรรค์ของกระเช้าทำให้หมี่กรอบกลายเป็นสาวสวยขึ้นมาในบัดดล ทันทีที่หมี่กรอบปรากฎตัวขึ้นบนเวที คนที่อึ้งมากที่สุดคือเทียน เขาไม่เคยคิดเลยว่าผู้หญิงมอมแมมแสนห้าว จะกลายเป็นสาวสวยได้ถึงขนาดนี้ และด้วยความเฉลียวฉลาดรอบรู้เกี่ยวกับเรื่องกล้วยไม้เป็นอย่างดี ทำให้หมี่กรอบได้รับรางวัลนี้ไปท่ามกลางเสียงเชียร์ที่ล้นหลาม สร้างความหมั่นไส้ให้กับสามบอมบ์อย่างแรง ปาร์ตี้ เอแคลร์ แบมบี้จึงรวมหัวกันกระชากมงกุฎจากศีรษะของหมี่กรอบมาอย่างไม่อาย และประกาศไม่ยอมรับการตัดสินของคณะกรรมการ ทำให้กระเช้าไม่พอใจ ขึ้นไปอาละวาดเพราะเจ็บแค้นแทนเพื่อน จนเกิดเป็นความโกลาหลอลหม่าน สุดท้ายเทียนต้องขึ้นไปบนเวที และประกาศย้ำว่า คนที่เหมาะสมจะเป็นมิสออร์คิด คือหมี่กรอบ นอกจากเทียนจะออกโรงปกป้องแล้ว เขายังสารภาพรักต่อหน้าทุกคนอีกด้วย ทำเอาสาวๆ กรี๊ดสนั่น หมี่กรอบช๊อก กระเช้าปล่อยโฮออกมาด้วยความดีใจ ธูปเข้ามาเห็นเหตุการณ์ตอนกระเช้าร้องไห้พอดี๊...พอดี เหมือนผีผลัก ทำให้เขาเข้าใจผิดคิดว่ากระเช้าเสียใจที่เทียนเลือกหมี่กรอบ ธูปจึงเดินออกไปจากงานด้วยความเสียใจ



ด้วยความโชคดีของฟาร์มราชินีกล้วยไม้ ขณะที่ธูปออกมาจากงานประกวด เขาเห็นบัญชากำลังทำท่าลับๆล่อๆ อยู่บริเวณโรงเพาะพันธุ์ซึ่งเป็นเขตหวงห้าม ธูปจึงเข้าไปถาม บัญชาตกใจจะหนี จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น ในขณะที่ทั้งสองคนอยู่ในสภาวะห้าสิบห้าสิบ ยื้อแย่งอาวุธกันอยู่ ทับทิมตามมาเห็นพอดี ในสถานการณ์คับขัน ณ ขณะนั้น ทับทิมต้องตัดสินใจว่าจะช่วยใคร ระหว่างบัญชาที่เป็นไส้ศึกด้วยกัน และธูป...ผู้ชายที่เธอหมายปอง และแล้วทับทิมก็เลือกช่วยธูป ด้วยการฟาดหัวบัญชาอย่างแรงจนสลบไป ทับทิมรีบเข้ามาดูแลธูปและแจ้งข่าวกับทุกคน



ทับทิมกลายเป็นฮีโร่ขึ้นมาทันที ได้ความดีความชอบมากมาย บัญชาโดนจับดำเนินคดี และซัดทอดไปยังดาราและอิทธิเดช ทั้งสองคนจึงเปิดโปงเรื่องที่ทับทิมก็เป็นหนอนบ่อนไส้ รับท่อน้ำเลี้ยงของฟาร์มดาราเช่นกัน แต่ด้วยความสตอขั้นเทพ ทับทิมทำทีเป็นบีบน้ำตาขอความเห็นใจจากศีล บุปผา และธูป บอกว่าเธอโดนบังคับให้เป็นนกต่อ แต่ลึกๆ เธอไม่อยากเป็น และพยายามช่วยฟาร์มของศีลโดยไม่ให้พวกนั้นเข้ามาทำร้ายฟาร์มมาแล้วหลายครั้ง ตอนนี้เธอสบายใจที่ไม่ต้องปิดบังอีกต่อไป ด้วยความเป็นคนใจอ่อน ทั้งศีลและบุปผายอมยกโทษให้ ทับทิมแอบตีปีกพั่บๆ ด้วยความสะใจ



หลังจากเหตุวุ่นวายจบลง กระเช้าพิสูจน์ได้ว่าไม่ผิด เทียนก็ขอให้พ่อแม่ไปเป็นเถ้าแก่ขอหมี่กรอบ ทั้งศีล และบุปผาดีใจ เพราะแอบชอบความเป็นคนขยันแข็งขัน ขยันทำงานมานานแล้ว และหมี่กรอบก็มีความรักในกล้วยไม้อย่างจริงจัง ดีกว่าสาวๆ สมองกลวงที่เทียนควงอยู่ทุกวัน ทั้งสองคนจึงเร่งรัดให้จัดงานแต่งงานโดยเร็ว ไม่ต้องหมั้นแล้ว กลัววืดอีกเหมือนครั้งที่แล้ว



เทียนประกาศแต่งงานกับหมี่กรอบทันทีที่เธอตอบตกลง กระเช้าดีใจกับเพื่อนด้วยความจริงใจ และเตรียมตัวเก็บของกลับบ้านนอก เพราะเสร็จสิ้นภาระกิจแล้ว หมี่กรอบพยายามจะยื้อให้มาเป็นเพื่อนเจ้าสาว แต่กระเช้าปฎิเสธ และแอบหนีกลับบ้านไปโดยไม่ได้ร่ำลา



ทางด้านธูป หลังจากที่เข้าใจผิดคิดว่ากระเช้ายังรักเทียนอยู่นั้น ก็เก็บตัวเงียบ ไม่พูดจา ถึงแม้ทับทิมจะพยายามสาระแนใส่ไฟหมี่กรอบต่างๆ นานา โทษฐานเป็นเพื่อนกระเช้า คงจะคิดไม่ต่างกัน แต่ธูปก็ไม่สนใจ จนทับทิมเซ็ง หลุดปากบอกว่าถ้าหมี่กรอบโดนเทียนเฉดหัวเมื่อไหร่ คงจะต้องลาออกหนีไปเหมือนกับกระเช้า



ธูปถึงกับใจหาย และพยายามสืบจนรู้ว่ากระเช้าลาออกไปแล้วจริงๆ ธูปเงียบขรึมหนักกว่าเดิม เอาแต่ทำงานจนพ่อแม่เป็นห่วง เทียนเองก็เริ่มเป็นห่วงธูปขึ้นมาเช่นกัน หลังจากที่ไม่เคยสนใจทั้งธูปและฟาร์มกล้วยไม้



หมี่กรอบและเทียนเริ่มปรึกษากันและเห็นตรงกันว่า กระเช้าและธูปมีความรู้สึกดีๆ ต่อกัน แต่ด้วยทิฐิทำให้ปั้นปึงต่อกัน ทั้งหมี่กรอบและเทียนจึงคิดหาวิธีที่จะให้ทั้งสองคนได้ปรับความเข้าใจกันให้ได้



กระเช้ากลับมาอยู่บ้านนอก และพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยคิดฝันมาก่อน จวงจิตเลิกกินเหล้า เข้าสวน พลิกฟื้นผืนดินมรดกที่ชิดชัยเอาตัวเข้าแลกเพื่อไม่ให้ปิ่นทองยึด จวงจิตทำเกษตรแบบชีวภาพไม่ใช้สารเคมี และเน้นธรรมชาติ จนเริ่มมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ ทำผลิตภัณฑ์ความงามตามธรรมชาติโดยนำมาใช้และทดลองกับตัวเองจนสวยเด้ง ผิดหูผิดตา ทำให้ชิดชัยแอบกลับมาหาทุกครั้งที่มีโอกาส กระเช้าเห็นความเปลี่ยนแปลงของแม่ก็ดีใจ และลงมือลงแรงช่วยแม่พัฒนาผลิตภัณฑ์ความงามโดยมีตัวเองเป็นพรีเซนเตอร์ ความสวยของกระเช้าทำให้มีลูกค้าเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว จนสินค้าของจวงจิตขายดีติดอันดับจนเป็นสินค้าโอทอป



ฐานะของจวงจิตดีขึ้นจนมีเงินมาปลดหนี้ค่าจำนองที่จากปิ่นทองได้สำเร็จ ทำให้ชิดชัยประกาศตัวเป็นไท ไม่ยอมอยู่เป็นทาสปิ่นทองอีกต่อไป ชิดชัยกลับไปหาจวงจิต และยืนยันว่าไม่ได้กลับไปเพราะเงินทองที่มีเพิ่มมากขึ้น แต่เพราะความมุ่งมั่นและความรักจริงของเธอที่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อสร้างครอบครัวใหม่ ถึงแม้จวงจิตจะไม่มีเงิน เขาก็ยินดีที่จะกลับไป คำตอบของพ่อทำให้กระเช้าได้คิด เธอค้นพบแล้วว่าความรักที่ยิ่งใหญ่มีคุณค่ามากกว่าเงินทอง และสุดท้ายสิ่งที่ทำให้ความรักอยู่ได้ คือความเข้าใจและการเห็นคุณค่าของกันและกัน



หลังจากที่เทียนประกาศแต่งงาน แบมบี้ ปาร์ตี้ เอแคลร์ ก็เบนเข็มมาที่ธูป สามสาวคอยตามจิกทุกวัน ทับทิมก็ต้องคอยกันท่า ด่าทอ กันทุกวัน จนธูปปวดเศียรเวียนเกล้า ออกปากไล่สามสาวไปอย่างไม่เหลือชิ้นดี ทั้งแบมบี้ ปาร์ตี้ เอแคลร์ พากันกรีดร้องและวิ่งหนีหายไปจากชีวิตเขาด้วยความทนไม่ได้ พฤติกรรมก๋ากั่นของสาวๆ ทำให้ธูปคิดถึงกระเช้าขึ้นมาจับใจ



ใกล้ถึงวันแต่งงานของหมี่กรอบและเทียนเข้ามาทุกที แต่กระเช้ายังไม่ตอบรับว่าจะมาร่วมงานแต่งงาน ทำให้ทั้งสองคนตัดสินใจมาชวนถึงที่บ้าน และลากธูปมาด้วยโดยไม่ได้บอกความจริง



การเจอกันครั้งนี้ทั้งสองคนต่างเขิน แต่ก็มีฟอร์ม ทำเป็นไม่สนใจใส่กัน จนหมี่กรอบ และเทียนต้องหาสารพัดวิธีที่จะให้ธูปยอมเปิดปากบอกความรู้สึกที่แท้จริงออกมาให้ได้ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร ธูปก็ยังปากแข็งอยู่ดี ถึงแม้จะมีหนุ่มๆ วนเวียนมาขายขนมจีบกระเช้าต่อหน้าต่อตาถึงที่สวน แต่ธูปก็ยังเฝ้ากระแหนะกระแหนคิดว่ากระเช้าเล่นตัวเพราะเลือกคนที่รวยที่สุด กระเช้าหมั่นไส้เลยตอกกลับไปว่าใช่ ยิ่งทำให้ธูปแค้นหนักขึ้น



เทียนกับหมี่กรอบเห็นท่าจะไม่ดี เทียนจึงเรียกธูปมาด่า และสารภาพว่าเหตุผลที่ตนยกเลิกงานหมั้นเพราะกระเช้าสารภาพว่าไม่ได้รักตัวเอง แต่คนที่เธอรัก คือธูป...ธูปอึ้งไปเล็กน้อย แอบดีใจ แต่ก็ยังไม่อยากเชื่อ



เรื่องที่ดูเหมือนจะไปได้ดี ก็ต้องอลวนอีกครั้งเมื่อทับทิมหอบเอางานมาหาธูป โดยอ้างว่ามีงานด่วน ต้องรีบเคลียร์ และขอพักอยู่ที่สวน ทุกคนรู้ว่าทับทิมโกหกพยายามจะไล่แต่ด้วยความหน้ามึนทับทิมก็อยู่เป็นก้างขวางคอให้มันสะใจเล่น ระหว่างนั้นเองทับทิมเริ่มเห็นท่าไม่ดีเพราะธูปดูเหมือนจะหึงกระเช้าอย่างออกนอกหน้า เธอจึงคิดว่าลูกไม้ขั้นเด็ดขาดจับธูปให้อยู่หมัด



แผนการณ์สุดตื้นเขินที่จำมาจากในละครของทับทิม คือแอบเอายานอนหลับให้ธูปกินและปลดผ้าทำเป็นว่าได้เสียกัน และให้ทุกคนมาเห็น แผนการณ์ดูเหมือนจะไปได้ดีแต่ฟ้าคงจะมีตา หมี่กรอบและเทียนล่วงรู้แผนของทับทิม ทั้งสองคนวางแผนซ้อนแผนอีกที ให้เทียนปลอมตัวเป็นธูป แล้วแกล้งดื่มเหล้าที่มียาสลบ แล้วทำเป็นสลบไป ในขณะที่กะเวลาให้หมี่กรอบเข้ามาเห็นและทำเป็นโวยวายเพราะคนที่นอนอยู่คือเทียนไม่ใช่ธูป จากนั้นหมี่กรอบก็อาละวาดฟาดฝ่ามือใส่ทับทิมจนยับเยิน ทับทิมรู้สึกอับอายและเสียหน้าจนไม่กล้าอยู่สู้หน้าคนอื่น รีบหอบเสื้อผ้ากลับกรุงเทพฯ ไปด้วยอาการสะบักสะบอม



แต่ยังไม่ทันจะก้าวพ้นจากสวน ทับทิมก็ต้องช๊อก เมื่ออิทธิเดช ดารา ศีล และบุปผายกขบวนกันมากระชากหน้ากาก อิทธิเดชมีหลักฐานการโอนเงินเป็นท่อน้ำเลี้ยงเข้าบัญชีทับทิม เพื่อแลกกับการขายข่าวมาเป็นเวลายาวนาน ที่ดารา อิทธิเดชไม่ยอมให้ปล่อยทับทิมลอยนวล เนื่องจากตอนนี้สองแม่ลูกได้มาทบทวนแล้วว่า การเป็นศัตรูกับฟาร์มราชินีกล้วยไม้ ไม่ส่งผลดีให้กับฟาร์มของตัวเอง จึงหันมาปรองดองกันเหมือนเดิม โดยขอให้ดร.ศีลเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ประจำฟาร์ม คอยดูแลเรื่องโรคภัยและพัฒนาพันธุ์ไปด้วยกัน ซึ่งดร.ศีลก็ยินดีทำให้โดยไม่คิดถึงอดีตที่ผ่านมาเพราะเห็นว่าเป็นภรรยาเพื่อนรัก ปรองดองกันไว้ดีกว่าต้องมาเข่นฆ่ากันในทางธุรกิจ ผลก็คือทับทิมโดนไล่ออกทันที พร้อมทั้งติดป้ายประจานหน้าฟาร์ม และส่งจดหมายเวียนถึงเพื่อนร่วมธุรกิจคนอื่นๆ เพื่อเป็นการเตือนภัย เป็นการลงโทษที่สาสมที่สุด !



ขณะที่หมี่กรอบและเทียนกำจัดศัตรูให้กระเช้าอยู่นั้น กระเช้าและธูปมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองเพราะจวงจิตกับชิดชัยมีความคิดที่จะจัดงานแต่งงานขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่กลับมาอยู่ด้วยกันใหม่ ทั้งสองคนจึงขอร้องให้กระเช้าและธูปมาเป็นเพื่อนเลือกของชำร่วย และถ่ายรูปเวดดิ้งที่กรุงเทพฯ ตามสมัยนิยม



ระหว่างที่จวงจิตและชิดชัยกำลังมีความสุขกับการเตรียมการ re-wedding กระเช้าและธูปก็ต้องทนอยู่ด้วยกันอย่างอึดอัด ท่ามกลางบรรยากาศแสนหวานของคู่รัก คู่แต่งงานรอบๆ ข้าง ทำให้กระเช้าอดคิดถึงตัวเองไม่ได้ ระหว่างนั่งอยู่มีเจ้าหน้าที่เข้ามาทักทายหลายครั้ง เพราะคิดว่าเป็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่มารอถ่ายรูป ถามกี่ครั้ง ทั้งสองคนก็ต้องปฎิเสธจนกระเช้าชักจะรำคาญ เอาป้ายมาเขียนติดไว้ว่าไม่ได้เป็นสามีภรรยากัน ธูปเห็นท่าทางปั้นปึ่งของกระเช้าก็ถามขึ้นว่าทำไมถึงต้องประกาศว่าไม่ได้เป็นสามีภรรยากัน กระเช้าพยายามไม่ตอบเพราะไม่อยากทะเลาะ แต่ยิ่งเงียบธูปก็ยิ่งกวนประสาทมากขึ้น...มากขึ้น และมากขึ้น จนกระเช้าทนไม่ไหว ระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างหมดเปลือก กระเช้าสารภาพว่าไม่เจียมตัว และผิดเองที่ไปชอบเขา เธอรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ และไม่อยากคิดฝันจนเกินตัว กระเช้าสารภาพทั้งน้ำตาและทิ้งท้ายขอร้องให้เขาอย่าถามอะไรอีก เธอพยายามตัดใจอยู่ หลังจากที่กระเช้าพลั่งพลูทุกอย่างออกมาจนหมด ธูปก็ยิ้มและบอกว่าสิ่งที่เขาได้ยินทั้งหมด คือสิ่งที่เขาคิดว่ามันจริงที่สุดเท่าที่เขารู้จักเธอมา และเขาก็ยอมรับในความจริงนั้น พูดจบธูปก็เข้ามากอดกระเช้าและสารภาพความจริงในใจที่ไม่เคยยอมรับมันมาก่อน จนกระทั่งไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้ กระเช้าได้ยินถึงกับปล่อยโฮ และกอดธูปไว้แน่น สร้างความงุนงงให้กับคู่บ่าวสาวที่ยืนล้อมรอบอยู่...ไม่เว้นแม้แต่จวงจิตและชิดชัย



กระเช้าได้ค้นพบแล้วว่าการพูดความจริงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด และความรักเป็นสิ่งที่ไม่คาดฝันเสมอ ธูปเองก็เรียนรู้ที่จะเปิดใจกว้าง และยอมรับความรู้สึกของตัวเอง ทั้งสองคนสามารถทะลายกำแพงแห่งทิฐิออกมาได้สำเร็จโดยมีความรักที่สวยงามเป็นรางวัล



ข่าวกอดกันกลางที่สาธารณะของกระเช้าและธูปกระฉ่อนมาถึงหูเทียนและหมี่กรอบที่กำลังเตรียมเข้าประตูวิวาห์ ทั้งสองคนดีใจ รีบบอกพ่อแม่พร้อมกับอธิบายความจริงเกี่ยวกับกระเช้าให้ฟัง จนทั้งสองคนเข้าใจ ศีลและบุปผาปรึกษากันและตัดสินใจเลื่อนงานแต่งงานหมี่กรอบและเทียนออกไป เพื่อจัดพร้อมกับกระเช้าและธูป ตอนแรกเทียนไม่ยอม แต่หมี่กรอบขอร้อง จึงยอมในที่สุด



และแล้วงานแต่งงานของเทียนกับหมี่กรอบ และธูปกับกระเช้าก็มาถึง ทั้งสี่คนจัดงานแต่งเล็กๆ ขึ้นในฟาร์มกล้วยไม้ มีแขกไม่กี่คน เป็นบรรยากาศที่อบอุ่น หอมหวนไปด้วยกลิ่นกล้วยไม้และดอกไม้นานาชนิด หมี่กรอบและกระเช้าอยู่ในชุดแต่งงานสวยเก๋ที่กระเช้าเป็นคนออกแบบเอง ธูปกับเทียนดูสง่าในชุดหรู ทั้งสองคู่เป็นคู่ที่เหมาะสมกันอย่างมาก



หลังจากที่ได้หกคะเมนตีลังกากันมานาน ทั้งเขาและเธอก็เจอคู่ที่เหมาะสมกับตัวเองสักที ความรักที่วุ่นวาย สุดท้ายก็ลงเอยไปได้...เอวัง ด้วยประการฉะนี้แล !!