วันจันทร์, ธันวาคม 14, 2552

อนาคตการส่งออกเม็ดพลาสติก PVC ไทย : ต้องโฟกัสในตลาดประเทศกำลังพัฒนา



1.       อนาคตการส่งออกเม็ดพลาสติก PVC ไทย : ต้องโฟกัสในตลาดประเทศกำลังพัฒนา
เม็ดพลาสติก PVC เป็นเม็ดพลาสติกชนิดหนึ่งที่มีปริมาณความต้องการใช้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในเกือบทุกภูมิภาคทั่วโลก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมก่อสร้างของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ที่ CMAI1 คาดว่าในช่วงปี 2553-2555 ปริมาณความต้องการเม็ดพลาสติก PVC จะขยายตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณร้อยละ 2.0 ต่อปี ซึ่งส่วนใหญ่จะค่อนข้างโน้มเอียงไปในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในแถบเอเชีย-แปซิฟิค และเอเชียใต้ โดยจีนเป็นประเทศที่มีสัดส่วนของปริมาณความต้องการเม็ดพลาสติก PVC มากที่สุดในโลก และคาดว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมายของนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจของจีน แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในปัจจุบัน จีนสามารถผลิตเม็ดพลาสติก PVCได้เองภายในประเทศเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้จีนมีแนวโน้มที่จะนำเข้าเม็ดพลาสติก PVC ลดลง แต่ส่งออกมากขึ้น ซึ่งปัญหานี้เป็นอุปสรรคสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการส่งออกเม็ดพลาสติก PVC ของไทยในตลาดโลก ที่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องมีการปรับตัวและมองหาโอกาสในการขยายตลาดไปยังประเทศใหม่ๆ ที่คาดว่าจะมีแนวโน้มความต้องการเพิ่มสูงขึ้น
สถานการณ์เม็ดพลาสติก PVC โลก
อุปสงค์เม็ดพลาสติก PVC ของโลก
PVC เป็นเม็ดพลาสติกชนิดหนึ่งที่สามารถนำไปขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์พลาสติกชนิดต่างๆ ได้หลากหลาย โดยเฉพาะวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง ซึ่ง CMAI คาดว่า ความต้องการเม็ดพลาสติก PVC ของโลกในช่วงปี 2553-2555 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณร้อยละ 2.0 ต่อปี โดยความต้องการส่วนใหญ่จะค่อนข้างโน้มเอียงไปในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในแถบเอเชีย-แปซิฟิค และเอเชียใต้ ซึ่งคาดว่าปริมาณความต้องการจะขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.1 และ 11.5 ต่อปี ตามลำดับ ขณะที่ปริมาณความต้องการเม็ดพลาสติก PVC ของประเทศในแถบอเมริกาเหนือและยุโรปตะวันตกจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 1.8 และ 0.7 ต่อปี ตามลำดับ
ทั้งนี้ เอเชียเป็นภูมิภาคที่มีสัดส่วนปริมาณความต้องการเม็ดพลาสติก PVC มากที่สุดในโลก คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 40 ของปริมาณความต้องการเม็ดพลาสติก PVC ทั้งหมดของโลก โดยจีนเพียงประเทศเดียวมีสัดส่วนปริมาณความต้องการมากถึงร้อยละ 65 ของปริมาณความต้องการเม็ดพลาสติก PVC ทั้งหมดในเอเชีย หรือเท่ากับร้อยละ 27 ของปริมาณความต้องการเม็ดพลาสติก PVC ทั้งหมดของโลก เนื่องจากแผนการพัฒนาเศรษฐกิจของจีนทำให้จีนมีการลงทุนก่อสร้างเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ประชาชนจีนก็มีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกชนิดต่างๆ เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน ซึ่ง CMAI คาดว่าอัตราการบริโภคเม็ดพลาสติก PVC ต่อจำนวนประชากรของจีนในปี 2554 จะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 11 กิโลกรัมต่อคน จากที่ในปี 2544 มีอัตราการบริโภคเพียง 4 กิโลกรัมต่อคน เท่านั้น2
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากสถิติปริมาณการนำเข้าเม็ดพลาสติก PVC ของจีนตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา กลับพบว่าปริมาณการนำเข้าเม็ดพลาสติก PVC ของจีนมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยประมาณร้อยละ 3.81 ต่อปี ทั้งนี้ เนื่องจากในปัจจุบันจีนสามารถผลิตเม็ดพลาสติก PVC ได้เองภายในประเทศมากขึ้น โดยใช้ Acetylene ที่ผลิตได้จากถ่านหินเป็นวัตถุดิบสำคัญ ทำให้เม็ดพลาสติก PVC ที่จีนผลิตได้มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าเม็ดพลาสติก PVC ของคู่แข่งขันที่ใช้ก๊าซเอทิลีนซึ่งผลิตได้จากน้ำมันดิบเป็นวัตถุดิบ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในปี 2552 จีนมีความต้องการใช้เม็ดพลาสติก PVC ในอุตสาหกรรมก่อสร้างภายในประเทศเพิ่มสูงขึ้นมาก เพื่อรองรับกับการจัดงานเซี่ยงไฮ้ เอ็กซ์โป และงานมหกรรมกีฬาเอเชียนเกมส์ ที่จะมีขึ้นในเดือนพฤษภาคมและพฤศจิกายนปี 2553
อีกทั้งราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงมากในช่วงต้นปี 2552 ทำให้ราคาเม็ดพลาสติก PVC ของคู่แข่งขันซึ่งใช้ก๊าซเอทิลีนที่ผลิตได้จากน้ำมันเป็นวัตถุดิบสำคัญมีราคาต่ำกว่าเม็ดพลาสติก PVC ที่จีนผลิตได้ จึงทำให้ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2552 ปริมาณการนำเข้าเม็ดพลาสติก PVC ของจีนเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 85.0 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2551 ซึ่ง ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ในระยะเวลาอีก 1-2 ปีข้างหน้า แม้ว่าจีนจะสามารถผลิตเม็ดพลาสติก PVC ได้เองภายในประเทศมากขึ้นก็ตาม แต่ด้วยปริมาณความต้องการเม็ดพลาสติก PVC ของจีน ที่ยังคงเพิ่มสูงขึ้นอยู่อย่างต่อเนื่อง จึงทำให้จีนยังจำเป็นต้องมีการนำเข้าเม็ดพลาสติก PVC จากต่างประเทศอยู่
นอกจากปริมาณความต้องการเม็ดพลาสติก PVC ของจีนที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นแล้ว กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ในแถบตะวันออกกลางก็เป็นอีกตลาดหนึ่งที่มีแนวโน้มปริมาณความต้องการเม็ดพลาสติก PVC เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากในปัจจุบันกำลังการผลิตเม็ดพลาสติก PVC ทั้งหมดของประเทศในแถบตะวันออกกลางมีสัดส่วนเพียงครึ่งหนึ่งของปริมาณความต้องการใช้ในภูมิภาคเท่านั้น ทำให้ในปี 2551 กลุ่มประเทศในแถบตะวันออกกลางจำเป็นต้องนำเข้าเม็ดพลาสติก PVC รวมทั้งสิ้นกว่า 1 ล้านตัน เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้างที่กำลังขยายตัวเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม จากกรณีวิกฤต Dubai World ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้งและลงทุนชั้นนำของรัฐบาลดูไบ ที่ได้ประกาศขอเลื่อนการชำระหนี้ออกไปจนถึงเดือนพฤษภาคม 2553 ได้ก่อให้เกิดภาวะฟองสบู่แตกในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของดูไบ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ผลจากวิกฤตดังกล่าวน่าจะกระทบต่อการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มประเทศต่างๆ ในแถบตะวันออกกลางค่อนข้างมาก ทำให้โครงการก่อสร้างต่างๆ ชะลอตัวลง ปริมาณความต้องการเม็ดพลาสติก PVC ของประเทศในแถบตะวันออกกลางก็จะชะลอตัวลงตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ในระยะเวลาอีก 10 ปีข้างหน้า CMAI ได้คาดการณ์ว่าการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในอุตสาหกรรมก่อสร้างของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ ทั่วโลก จะมีผลทำให้ปริมาณความต้องการเม็ดพลาสติก PVC เพิ่มสูงขึ้น โดยคาดว่าสัดส่วนของปริมาณความต้องการเม็ดพลาสติก PVC ที่ใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้างจะมีมากถึงร้อยละ 61 ของปริมาณความต้องการเม็ดพลาสติก PVC ทั้งหมดของโลก ซึ่งชดเชยกับการชะลอตัวลงของปริมาณความต้องการในตลาดใหญ่ๆ อย่างอเมริกาเหนือและยุโรปตะวันตก โดยจีนจะยังคงมีบทบาทเป็นผู้นำเข้าเม็ดพลาสติก PVC รายใหญ่ที่สุดของโลกต่อไป3
อุปทานเม็ดพลาสติก PVC ของโลก
กำลังการผลิตเม็ดพลาสติก PVC ของโลกในปัจจุบันได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อรองรับกับปริมาณความต้องการของโลกที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น โดยในเบื้องต้นก่อนเกิดปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2551 CMAI คาดว่ากำลังการผลิตเม็ดพลาสติก PVC ของโลกในปี 2555 อาจมีปริมาณเพิ่มขึ้นถึง 50 ล้านตัน โดยส่วนใหญ่ประมาณครึ่งหนึ่งเป็นกำลังการผลิตที่เกิดขึ้นในภูมิภาคเอเชีย โดยมีจีนเป็นประเทศที่มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นมากที่สุดถึงร้อยละ 90 ทำให้ตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา จีนจึงมีบทบาทมากขึ้นในฐานะผู้ส่งออกเม็ดพลาสติก PVC รายใหญ่ของโลกที่มีปริมาณการส่งออกเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงปี 2547-2550 ปริมาณการส่งออกเม็ดพลาสติก PVC ของจีนมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยประมาณร้อยละ 1.45 ต่อปี
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในปี 2553 จีนจะมีการจัดงานเซี่ยงไฮ้ เอ็กซ์โป งานมหกรรมกีฬาเอเชียนเกมส์ รวมทั้งเป็นปีแห่งการท่องเที่ยวจีน จึงทำให้ตั้งแต่ปี 2551 จนถึงปัจจุบัน ปริมาณความต้องการใช้เม็ดพลาสติก PVC ในจีนเพิ่มสูงขึ้นมาก ส่งผลให้ปริมาณการส่งออกเม็ดพลาสติก PVC ของจีนมีแนวโน้มลดลง โดยในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2552 ปริมาณการส่งออกเม็ดพลาสติก PVC ของจีน ลดลงถึงร้อยละ 61.3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2551 อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ในปี 2553 ปริมาณการส่งออกเม็ดพลาสติก PVC ของจีนน่าจะกลับมามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เพื่อรองรับกับการจัดงานของจีนในปี 2553 แล้วเสร็จ อีกทั้งราคาน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ก็น่าจะอีกปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้การผลิตเม็ดพลาสติก PVC ของจีนกลับมามีความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าคู่แข่งขันอีกครั้ง
ทั้งนี้ หากพิจารณาในภาพรวมของตลาดเม็ดพลาสติก PVC ของโลก กำลังการผลิตเม็ดพลาสติก PVC ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมานั้น ได้ก่อให้เกิดปัญหาอุปทานส่วนเกินขึ้นในตลาด โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2551 ที่การลงทุนในโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของประเทศต่างๆ ต้องหดตัวลง ส่งผลให้ปริมาณความต้องการเม็ดพลาสติก PVC ของโลกลดลงอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ผู้ผลิตทั่วโลกมีการคาดการณ์กันว่า กำลังการผลิตเม็ดพลาสติก PVC ของโลกในช่วงปี 2553-2557 นั้นอาจลดลงจากที่ CMAI คาดการณ์ไว้ในเบื้องต้น โดยอาจลดลงประมาณ 1-1.5 ล้านตัน จากกำลังการผลิตทั้งหมดที่มีอยู่ในปี 2552 ที่ระดับ 48 ล้านตัน เนื่องจากผู้ผลิตเกรงว่าอุปทานส่วนเกินที่มากเกินไปนั้น จะทำให้ราคาเม็ดพลาสติก PVC มีแนวโน้มอ่อนตัวลง
ราคาเม็ดพลาสติก PVC ในตลาดโลก
แม้ว่าแรงกดดันจากอุปทานใหม่ที่ทยอยเข้าสู่ตลาดมากขึ้น จะทำให้ผู้ผลิตมีความกังวลกันว่าราคาเม็ดพลาสติก PVC จะมีแนวโน้มอ่อนตัวลง แต่เมื่อพิจารณาจากข้อมูลสถิติราคาเม็ดพลาสติก PVC ในตลาดโลกแล้ว กลับพบว่า ราคาเม็ดพลาสติก PVC ที่อ่อนตัวลงมากตั้งแต่ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2551ต่อเนื่องจนถึงช่วงต้นปี 2552 เริ่มมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้งในช่วงกลางปี 2552 เป็นต้นมา ซึ่งคาดราคาเม็ดพลาสติก PVC ที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นนั้นน่าจะเป็นเพราะสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น รวมทั้งความพยายามในการกระตุ้นการลงทุนภายในประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนในโครงการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐบาลประเทศต่างๆ ที่ส่งผลทำให้ปริมาณความต้องการเม็ดพลาสติก PVC ของโลกกลับมามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง อีกทั้งราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่เริ่มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้งหลังจากที่ปรับตัวลดลงไปในช่วงต้นปี 2552 ก็ยังเป็นอีกปัจจัยหนุนสำคัญที่คาดว่าจะทำให้ราคาเม็ดพลาสติก PVC ในตลาดโลกทยอยปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยในเดือนสิงหาคมปี 2552 ราคาเม็ดพลาสติก PVC ในตลาดโลกขยับตัวเพิ่มสูงขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 800 เหรียญสหรัฐฯ/ ตัน จากที่ในช่วงปลายปี 2551 ราคาเม็ดพลาสติก PVC ในตลาดโลกลดลงมาก จนไปอยู่ที่ระดับ 570 เหรียญสหรัฐฯ/ ตัน
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ในปี 2553 ราคาเม็ดพลาสติก PVC ของโลก น่าจะมีแนวโน้มปรับตัวไปในทิศทางที่สูงขึ้นตามทิศทางของราคาน้ำมันดิบที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ดำเนินไปอย่างช้าๆ และผลกระทบจากวิกฤต Dubai World ตลอดจนถึงความท้าทายทางการแข่งขันที่มากขึ้นของเม็ดพลาสติก PVC จากเม็ดพลาสติกประเภท PE ในตลาดเม็ดพลาสติก ทำให้คาดว่าราคาเม็ดพลาสติก PVC ของโลกในปี 2553 น่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับใกล้เคียง 1,000 เหรียญสหรัฐฯ/ ตัน
มูลค่าส่งออกเม็ดพลาสติก PVC ของไทยปี 2552…หดตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจและราคาน้ำมัน
แม้ว่าปริมาณการส่งออกเม็ดพลาสติก PVC ของไทยในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2552 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 0.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2551 แต่มูลค่าการส่งออกกลับขยายตัวลดลงมากถึงร้อยละ 29.2 เนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ทั่วโลกในช่วงต้นปี 2552 ยังไม่มีความชัดเจน ทำให้ความต้องการเม็ดพลาสติก PVC ของโลกยังไม่เพิ่มสูงขึ้นมากนัก และราคาเม็ดพลาสติก PVC ในช่วงต้นปี 2552 ก็ยังเคลื่อนไหวอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าในช่วงก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2551
อย่างไรก็ตาม จากสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่มีทิศทางดีขึ้น ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2552 เป็นต้นมา ทำให้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2552 ปริมาณการส่งออกเม็ดพลาสติก PVC ของไทย น่าจะมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยคาดว่าปริมาณการส่งออกเม็ดพลาสติก PVC ของไทยตลอดทั้งปี 2552 น่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2551 ประมาณร้อยละ 0.7-0.8 ขณะที่มูลค่าการส่งออกน่าจะขยายตัวลดลงจากปี 2551 ประมาณร้อยละ 27-29 เนื่องจากในปี 2552 ราคาเม็ดพลาสติก PVC ในตลาดโลกโดยเฉลี่ยลดลงจากปี 2551 ประมาณร้อยละ 24.6
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากปริมาณการส่งออกเม็ดพลาสติก PVC ของไทยไปยังประเทศคู่ค้าต่างๆ จะพบว่า จีนเป็นตลาดส่งออกหลักที่มีปริมาณการส่งออกมากที่สุด โดยในปี 2551 ปริมาณการส่งออกเม็ดพลาสติก PVC ของไทยไปยังจีนเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.9 จากปี 2550 ขณะที่ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2552 ปริมาณการส่งออกเม็ดพลาสติก PVC ของไทยไปจีนขยายตัวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 197.3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2551 เนื่องจากในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2551 ต่อเนื่องจนถึงช่วงไตรมาสแรกของปี 2552 ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกลดลงมาก ทำให้จีนซึ่งใช้ถ่านหินเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตเม็ดพลาสติก PVC มีต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับคู่แข่งขันที่ใช้เอทิลีนซึ่งผลิตได้จากน้ำมันดิบเป็นวัตถุดิบในการผลิตอย่างไทย จึงทำให้มีคำสั่งซื้อเม็ดพลาสติก PVC จากจีนเข้ามามากขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจีนจะเป็นตลาดส่งออกเม็ดพลาสติก PVC หลักของไทย แต่เมื่อพิจารณาจากการเปลี่ยนแปลงของสัดส่วนปริมาณการส่งออกเม็ดพลาสติก PVC ของไทยไปยังประเทศคู่ค้าสำคัญต่างๆ แล้ว กลับพบว่า ปริมาณและสัดส่วนการส่งออกเม็ดพลาสติก PVC ของไทยไปยังจีนนั้น มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การส่งออกไปยังกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ในเอเชียมีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้น โดยในปี 2551 สัดส่วนการส่งออกเม็ดพลาสติก PVC ของไทยไปยังกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ในเอเชียเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 37.0 จากที่ในปี 2547 มีสัดส่วนเพียงร้อยละ 17.0 ซึ่งชดเชยกับปริมาณการส่งออกไปยังจีนที่ลดลงเหลือเพียงร้อยละ 13.0 ในปี 2551 จากที่ในปี 2547 มีสัดส่วนมากที่สุดถึงร้อยละ 40.0 ของปริมาณการส่งออกเม็ดพลาสติกทั้งหมดของไทย ซึ่งจากแนวโน้มการส่งออกเม็ดพลาสติก PVC ของไทยไปยังประเทศคู่ค้าต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปนี้ สอดคล้องกับแนวโน้มความต้องการเม็ดพลาสติก PVC ในตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ในอนาคตหากผู้ประกอบการไทยต้องการให้การส่งออกเม็ดพลาสติก PVC ขยายตัวได้มากขึ้น ก็ควรให้ความสำคัญกับตลาดส่งออกในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ นอกเหนือจากจีนมากขึ้น เพื่อชดเชยกับปริมาณการนำเข้าเม็ดพลาสติก PVC ของจีนที่มีแนวโน้มลดลง
ตลาดเม็ดพลาสติก PVC ปี 2553…ส่งออกและจำหน่ายในประเทศเพิ่มสูงขึ้น
ด้วยแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของโลกในปี 2553 ที่คาดว่าจะเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น ไปพร้อมๆ กับแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบ ทำให้คาดว่าปริมาณความต้องการและราคาเม็ดพลาสติก PVC ของโลกจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงคาดว่า ในปี 2553 ปริมาณการส่งออกเม็ดพลาสติก PVC ของไทย น่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 6-7 และมูลค่าการส่งออกจะขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 7-9 จากปี 2552 โดยมีตลาดส่งออกสำคัญคือ กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในแถบเอเชียใต้ อาทิ อินเดีย บังกลาเทศ และประเทศในแถบตะวันออกกลางบางประเทศ เช่น ตุรกี เป็นต้น
ทั้งนี้ เนื่องจากรัฐบาลของประเทศเหล่านี้มีนโยบายลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ภายในประเทศเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ กลุ่มประเทศอินโดจีนก็ยังเป็นอีกตลาดหนึ่งที่คาดว่าจะปริมาณการส่งออกเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะการส่งออกไปยังลาวและกัมพูชา ที่มีนโยบายเปิดประเทศมากขึ้น ส่งผลให้มีการลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้าสู่อุตสาหกรรมต่างๆ ทำให้คาดว่าความต้องการเม็ดพลาสติก PVC ในลาวและกัมพูชาจะเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม สำหรับการส่งออกไปยังเวียดนามนั้น แม้ว่าไทยจะมีปริมาณการส่งออกเม็ดพลาสติก PVCไปยังเวียดนามมากเป็นอันดับสองรองจากจีนก็ตาม แต่จากการขยายตัวของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในเวียดนามที่มากขึ้น การนำเข้าเม็ดพลาสติก PVC ราคาถูกจากจีนของเวียดนามที่เพิ่มสูงขึ้น ตลอดจนถึงการปรับลดค่าเงินด่องของเวียดนาม ทำให้คาดว่าการส่งออกเม็ดพลาสติก PVC ของไทยไปยังเวียดนามจะมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง
สำหรับความต้องการเม็ดพลาสติก PVC ภายในประเทศในปี 2553 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ปริมาณความต้องการน่าจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากในปี 2553 เป็นช่วงที่งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลตามโครงการไทยเข้มแข็งน่าจะเริ่มเกิดผลในทางปฏิบัติ ซึ่งจะทำให้มีงานก่อสร้างต่างๆ เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งการขยายตัวของโครงการก่อสร้างบ้านและคอนโดมิเนียมต่างๆ ก็จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหนุนสำคัญที่ทำให้ความต้องการเม็ดพลาสติก PVC ในประเทศเพิ่มสูงขึ้น โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ในปี 2553 ปริมาณความต้องการเม็ดพลาสติก PVC ในประเทศ น่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2552 ประมาณร้อยละ 5-7
สรุป
เม็ดพลาสติก PVC จะยังคงมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีขั้นปลายของโลกต่อไป แม้ว่าในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมา จะได้รับผลกระทบจากการหดตัวลงของภาวะเศรษฐกิจและการลดลงของราคาน้ำมัน ทำให้ปริมาณความต้องการใช้และราคาของเม็ดพลาสติก PVC อ่อนตัวลงก็ตาม แต่เนื่องจากเม็ดพลาสติก PVC มีต้นทุนการผลิตที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับเม็ดพลาสติกชนิดอื่นๆ โดยเฉพาะเม็ดพลาสติกประเภท PE ทำให้ราคาของเม็ดพลาสติก PVC ถูกกว่า จึงเป็นที่ต้องการใช้มากในอุตสาหกรรมก่อสร้างของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ในช่วงหลังจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นไป ความต้องการเม็ดพลาสติก PVC ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จะขยายตัวเพิ่มสูงขึ้น
โดยในตลาดส่งออกผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับการขยายตลาดไปยังกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ในเอเชียมากขึ้น อาทิ ตุรกี อินเดีย บังกลาเทศ ลาว กัมพูชา เนื่องจากรัฐบาลของประเทศต่างๆ เหล่านี้มีนโยบายส่งเสริมการลงทุนพัฒนาระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานภายในประเทศเพิ่มสูงขึ้น แต่การผลิตเม็ดพลาสติก PVC ภายในประเทศเหล่านี้ยังมีไม่เพียงพอ ซึ่งจะเป็นการชดเชยกับปริมาณการส่งออกในประเทศคู่ค้ารายใหญ่อย่างจีนและเวียดนามที่คาดว่าจะมีแนวโน้มลดลง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์แนวโน้มของราคาเม็ดพลาสติก PVC ในตลาดโลก ยังเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องติดตามต่อไปอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะผลกระทบจากวิกฤต Dubai World และการปรับลดค่าเงินด่องของเวียดนาม ที่อาจส่งผลต่อปริมาณความต้องการเม็ดพลาสติก PVC ของประเทศเหล่านี้
ขณะที่ในด้านของการขยายกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกของไทย แม้ว่าแนวโน้มปริมาณความต้องการเม็ดพลาสติก PVC ของโลกที่เพิ่มสูงขึ้น จะเป็นปัจจัยบวกสำคัญที่คาดว่าจะทำให้ปริมาณการส่งออกเม็ดพลาสติก PVC ของไทยขยายตัวได้สูงขึ้นก็ตาม แต่เนื่องจากในกระบวนการผลิตเม็ดพลาสติก PVC ที่มักส่งผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม จึงทำให้คาดว่าการเพิ่มการลงทุนหรือขยายกำลังการผลิตเม็ดพลาสติก PVC ของผู้ประกอบการภายในประเทศอาจมีความไปได้ยากมากขึ้น ดังเช่นในกรณีที่เกิดขึ้นในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ซึ่ง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในอนาคตการขยายการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตเม็ดพลาสติก PVC ของผู้ประกอบการไทย น่าจะอยู่ในลักษณะของการย้ายฐานการผลิตและการกระจายการลงทุนไปยังกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านแทนมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในเวียดนามและมาเลเซีย ซึ่งผลจากการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน ที่จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 เป็นต้นไป น่าจะช่วยให้การขยายการลงทุนและการเพิ่มกำลังการผลิตเม็ดพลาสติก PVC ของผู้ประกอบการไทยในประเทศเพื่อนบ้านมีความเป็นไปได้มากขึ้น
ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น