เตรียมกระดาษเปล่า ดินสอหรือปากกามาจดทุกคำพูด
ทุกความคิดที่เกิดขึ้นของลูกและของคุณ
โดยมีเคล็ดลับอยู่ว่า.......................
- ไม่วิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่ลูกคิด
- สิ่งที่คุณควรทำก็คือ จดความคิดทุกอย่างลงไปและอาจจะพูดกระตุ้นให้ลูกคิดหาทางออกอื่นๆเพิ่มให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
(กรุณาควบคุมอารมณ์ของคุณ อย่าพูดเร่งเร้าหรือมีอารมณ์ร่วมในเหตุการณ์มากนัก เพราะอาจจะทำให้ลูกอึดอัดหรือรู้สึกถูกกดดันจนคิดไม่ออก)
ถ้าลูกคิดไม่ออกแล้ว ก็ถึงตาคุณคิดบ้าง จดความคิดคุณลงในกระดาษแผ่นเดียวกันนั่นแหละ ทีนี้คุณก็ใส่ความคิดที่คุณเห็นว่าเหมาะสมลงไปเต็มที่เลย (หมอหวังว่ามันคงเป็นความคิดที่เข้าท่ากว่าของลูกนะ)
อย่างเช่น
.....ทำเฉยไม่สนใจเวลาถูกล้อหรือถูกแหย่โดยทำท่าอ้าปากหาวแล้วเดินหนีไปจากกลุ่มเด็กเกเรแบบสบายๆ
...ไม่อยู่คนเดียวในช่วงพัก ควรมีคู่หูหรือเพื่อนสนิทที่ไว้ใจไปไหนมาไหนด้วย อย่างน้อยถ้าโดนแกล้งก็ยังมีเพื่อนช่วยกันบ้าง
....แสดงออกอย่างมั่นใจและสุภาพกับเด็กที่มารังแกโดยอาจจะมองหน้าสบตาคนที่มารังแกและพูดว่า
"เราไม่ชอบให้นายทำอย่างนี้กับเรา นายหยุดทำได้แล้ว ถ้านายไม่ยอมหยุดล้อเราซะที เราก็มีสิทธ์ที่จะจัดการให้นายหยุด เพราะนายเริ่มก่อน"
...พยายามคบหาเพื่อนฝูงให้มากเข้าไว้ อย่าอยู่โดดเดี่ยว
โอกาสเป็นเป้าโจมตึจะยากขึ้นถ้าเราเป็นคนที่เพื่อนๆรัก........
เด็กเกเรจะถูกเพื่อนคนอื่นๆไม่ชอบ ไม่พอใจที่มารังแกเรา
ก็ต้องมีคนเข้าข้างเราบ้างหล่ะ........................
...พยายามอยู่ใกล้คุณครูเข้าไว้ เผื่อโดนแกล้ง
อย่างน้อยก็มีครูเห็นเหตุการณ์อยู่ ช่วยไม่ช่วยค่อยว่ากันอีกที
...ไม่ไปล้อเลียน ทำตัวเป็นหัวโจกรังแกคนอื่นซะเอง........
9. เลือกความคิดที่เข้าท่ามาลองทำ
ลองพูดคุยกับลูกว่าความคิดไหนที่เข้าท่าและพอทำได้จริง ตัดข้อที่ทำไม่ได้ออกไปซะ...ลองเล่นบทบาทสมมุติกับลูก โดยคุณเล่นเป็นเด็กเกเร ส่วนลูกเล่นเป็นตัวเอง อาจจะเริ่มด้วย..............................................................
"เอาล่ะ ลองสมมุติกันดูซิ พ่อเป็น......(เติมชื่อตัวร้ายกันเอาเอง) ถ้าพ่อเดินเข้ามาหาพร้อมกับตบหัวลูก แล้วก็บอกว่า
"เป็นไง...ไอ้ลูกแหง่ ร้องไห้ไปฟ้องแม่หรือยังที่โดนอัดเมื่อวานเนี๊ย"...
เจอเข้าแบบนี้แล้วลูกจะทำยังไง ลองดูซิ ทำอย่างที่เราคิดกันเมื่อกี้ดีมั๊ย"...
คุณควรให้กำลังใจลูกในระหว่างที่ลูกกำลังฝึกซ้อมบทบาทการโต้ตอบ
- เปิดโอกาสให้ลูกเป็นตัวของตัวเอง
- คุณควรพูดชมเชยถ้าลูกทำได้พอเข้าท่าเข้าทาง
คุณเองก็เช่นเดียวกัน ลูกยังต้องการโอกาสในการฝึกฝนอีกมาก)
คุณอาจให้ความเห็นในสิ่งที่คุณคิดว่าลูกควรแก้ไขได้ แต่อย่าตำหนิ ล้อเลียนลูกซะเอง เพราะนั่นอาจทำให้ลูกรู้สึกท้อใจและไม่กล้าแสดงออก
ฝึกฝนการแสดงบทบาทสมมุติจนลูกมั่นใจ...
10.ลองสนามจริง
ช่วง1-2 สัปดาห์แรก ควรจะถามไถ่ลูกทุกวันว่าเหตุการณ์ที่โรงเรียนเป็นอย่างไรบ้าง
ลูกโดนล้อหรือโดนรังแกอีกมั๊ย (ถามลูกแบบสบายๆ อย่าใช้น้ำเสียงคาดคั้น)
ลูกทำตามแผนที่ช่วยกันวางไว้ได้หรือไม่
ถ้าพอทำได้ตามแผน ก็ชมเชย ให้กำลังใจลูกให้ทำต่อไป
ถ้ามันยังไม่ work ก็เอามานั่งคุยกัน ลองเล่นบทบาทสมมุติว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ลูกพลาดตรงไหน แล้วก็ช่วยกันคิดหาทางอื่น
"ที่สำคัญคุณต้องแสดงให้ลูกรู้ว่าคุณอยู๋ทีมเดียวกับลูกเสมอ"
"และคุณภูมิใจในตัวลูกที่ได้พยายามถึงแม้ว่ามันยังไม่สำเร็จ "
11. ประสานกับทางโรงเรียน ถ้าปัญหาทุกอย่างมันไม่ดีขึ้น
อย่างน้อยก็ให้คุณครูได้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
(แต่ถ้าการแกล้ง รังแกกันนั้นรุนแรงมาก เช่น ถึงกับเลือดตกยางออก มีการทำร้ายร่างกาย
ทำลายข้าวของเสียหาย ทางโรงเรียนควรจะมีส่วนรับรู้และร่วมมือกันแก้ปัญหาตั้งแต่ต้น)
พูดคุยปัญหาก้บคุณครูประจำชั้นและคุณครูผู้เกี่ยวข้องให้ช่วยกันสอดส่องดูแล
ไม่ให้เกิดการแกล้ง รังแกกันอย่างรุนแรงในโรงเรียน...
โรงเรียนควรเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก
ทั้งทางร่างกาย อารมณ์ สังคมและจิตใจ
นอกเหนือจากเป็นที่ที่ให้วิชาความรู้
หน้าที่ของพ่อแม่คือช่วยลูกคิด แล้วให้ลูกพยายามจัดการปัญหาเอง..
อย่าเพิ่งยื่นมือเข้าไปจัดการตั้งแต่แรก
เพราะนั่นคือการปิดโอกาสการเรียนรู้ชึวิตของลูก
โปรดอย่าลืมว่า
พ่อแม่ไม่ได้อยู่คำฟ้า
ขอบคุณบทความดีๆ พญ.ดวงรัตน์ วังเกล็ดแก้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น