วันศุกร์, พฤศจิกายน 13, 2552

ความเสี่ยงจากบรรษัทภิบาล


เศรษฐศาสตร์พเนจร : ดร.วิรไท สันติประภพ กรุงเทพธุรกิจ 
วิกฤติการเงินโลกรอบนี้ได้จุดประกายให้ต้องสนใจความเสี่ยงจากบรรษัทภิบาล หรือ corporate governance risk ในโลกธุรกิจ เราได้ยินเรื่องการส่งเสริมบรรษัทภิบาล มานานแล้ว แต่คนจำนวนไม่น้อยมองว่าบรรษัทภิบาลเป็นเรื่องถ้าทำก็ดี ถ้าไม่ทำก็เสมอตัว โดยไม่ค่อยนึกถึงความเสี่ยงและผลร้ายแรงที่อาจจะเกิดขึ้นถ้าขาดบรรษัทภิบาลที่ดี
ในโลกของสถาบันการเงิน ความเสี่ยงจากบรรษัทภิบาล ดูจะได้รับความสนใจน้อยกว่าความเสี่ยงหลักประเภทอื่น โดยเฉพาะความเสี่ยงจากสินเชื่อ (credit risk)ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของราคาตลาด (market risk) และความเสี่ยงจากการปฏิบัติการ (operational risk) กติกากำกับดูแลสถาบันการเงินที่ใช้กันทั่วโลกให้ความสำคัญต่อความเสี่ยงสามประเภทหลัก และกำหนดให้สถาบันการเงินต้องดำรงเงินกองทุนไว้รองรับความเสี่ยงเหล่านี้ด้วย โดยไม่ให้ความสำคัญต่อความเสี่ยงจากบรรษัทภิบาลในระดับเดียวกัน
วิกฤติการเงินโลกรอบนี้ แสดงให้เห็นว่าความเสี่ยงจากบรรษัทภิบาลสามารถทำให้สถาบันการเงินขนาดใหญ่ของโลกล้มลงได้ เมื่อมองย้อนกลับไปก่อนวิกฤติ สถาบันการเงินในโลกตะวันตกดูจะขาดระบบการกำกับดูแลที่ดีตั้งแต่ระดับผู้ถือหุ้น สถาบันการเงินขนาดใหญ่สมัยนี้มีขนาดใหญ่มาก จนไม่มีใครมีทุนมากพอที่จะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ได้ จึงไม่สามารถควบคุมการทำงานของคณะกรรมการและฝ่ายบริหารได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้กฎเกณฑ์การกำกับดูแลสถาบันการเงินมักกำหนดเพดานการถือหุ้นขั้นสูงไว้อีกด้วย เพราะเชื่อว่าผู้ถือหุ้นใหญ่อาจจะแทรกแซงการปล่อยสินเชื่อให้พวกพ้อง จนทำให้สถาบันการเงินเสียหายได้
นอกจากโครงสร้างผู้ถือหุ้นสถาบันการเงินจะเป็นเบี้ยหัวแตกแล้ว ผู้ถือหุ้นในสถาบันการเงินยังอาจมีวัตถุประสงค์อื่น ไม่ได้คำนึงถึงผลตอบแทนจากการถือหุ้นระยะยาวเป็นหลัก หุ้นสถาบันการเงินมักถูกใช้เป็นตัวสะท้อนทิศทางของสภาวะเศรษฐกิจ และเป็นหุ้นที่ซื้อง่ายขายคล่อง ส่งผลให้ได้รับความนิยมจากผู้ถือหุ้นและกองทุนที่มุ่งหวังกำไรในระยะสั้น โดยเชื่อว่าจะสามารถขายหุ้นออกได้ทันก่อนที่ราคาจะตก
ความเสี่ยงจากบรรษัทภิบาลในระดับคณะกรรมการเป็นปัญหาสำคัญเช่นกัน ผลิตภัณฑ์การเงินใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนในโลก ต้องอาศัยการคำนวณความเสี่ยงจากแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่ต้องถูกอุปโลกน์ข้อมูลขึ้นเอง (เพราะไม่เคยมีมาก่อนในโลก) เรื่องเหล่านี้ยากที่คณะกรรมการของสถาบันการเงินจะเข้าใจ ต่อให้จะเขียนกฎเกณฑ์ให้คณะกรรมการสถาบันการเงินต้องกำกับดูแลผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ไว้ละเอียดเพียงใด ก็ยากที่คณะกรรมการจะเข้าใจและตัดสินใจได้อย่างทันท่วงที
ความเสี่ยงจากบรรษัทภิบาลของสถาบันการเงินดูจะรุนแรงที่สุดในระดับผู้บริหาร สถาบันการเงินหลายแห่งล้มลง จนผู้ถือหุ้นขาดทุนจำนวนมาก และรัฐบาลต้องเอาภาษีของประชาชนมาช่วยเหลือ แต่ผู้บริหารที่บริหารงานผิดพลาดยังได้รับผลประโยชน์ที่ดี ทั้งโบนัสและเงินชดเชยการถูกให้ออก เพราะถูกกำหนดไว้แต่แรกในสัญญาจ้างงาน นอกจากนี้ในช่วงก่อนวิกฤติ ผลประโยชน์ที่ผู้บริหารสถาบันการเงินได้รับ มักจะอิงกับผลประกอบการในแต่ละปี ในขณะที่ความเสี่ยงจากการปล่อยสินเชื่อหรือการทำธุรกรรมการเงินหลายประเภทต้องอาศัยเวลายาวกว่าหนึ่งปีจึงจะปรากฏผลได้ชัด ซึ่งกว่าจะถึงเวลานั้นผู้บริหารสถาบันการเงินมักจะได้รับโบนัสไปเต็มที่ และอาจย้ายไปทำงานกับสถาบันการเงินอื่นแล้ว ส่งผลให้ผู้บริหารสถาบันการเงินให้ความสำคัญต่อผลตอบแทนที่ตนจะได้รับในระยะสั้น มากกว่าความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นต่อสถาบันการเงินในระยะยาว
ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจขยายตัวได้ดี ฟองสบู่เติบโตได้ต่อเนื่อง ไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจต่อความเสี่ยงจากบรรษัทภิบาลเท่าไหร่นัก แต่จะให้ความสนใจกับผลตอบแทน และผลกำไรของสถาบันการเงินแต่ละแห่งเป็นหลัก ผู้ถือหุ้น คณะกรรมการและผู้บริหาร จะมีความสุขเป็นพิเศษ ถ้ากำไรและราคาหุ้นชนะสถาบันการเงินคู่แข่งได้ในแต่ละปี โดยลืมนึกไปว่าผลประกอบการ และราคาหุ้นที่เพิ่มสูงขึ้นนั้น อาจมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สถาบันการเงินต้องรับเกินควร ในช่วงก่อนเกิดวิกฤติ ระบบสถาบันการเงินมีการแข่งขันรุนแรงมากเพราะผู้ถือหุ้น คณะกรรมการ และผู้บริหารสถาบันการเงินเกือบทุกแห่งคิดคล้ายกัน จึงไม่แปลกที่ระบบการเงินของโลกต้องรับความเสี่ยงมากเกินควร ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงจากสินเชื่อ ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของราคาตลาด หรือความเสี่ยงจากการปฏิบัติการ ซึ่งถ้าคิดลึกๆ แล้วล้วนมีต้นตอมาจากการขาดระบบบรรษัทภิบาลที่ดีทั้งสิ้น
ตั้งแต่เกิดวิกฤติรอบนี้ หน่วยงานกำกับดูแลสถาบันการเงิน หันมาสนใจความเสี่ยงจากบรรษัทภิบาลมากขึ้น ที่เห็นเป็นรูปธรรมมากที่สุดคงจะเป็นความพยายามออกกฎเกณฑ์ควบคุมการจ่ายผลตอบแทนให้แก่ผู้บริหาร ยืดฐานการคำนวณโบนัสและผลตอบแทนของผู้บริหารให้ยาวขึ้น ไม่ให้อิงกับผลประกอบการปีต่อปีเป็นหลัก และในอนาคตคงยากที่ผู้บริหารสถาบันการเงินจะได้รับเงินชดเชยการเลิกจ้างในลักษณะที่ล้มบนฟูก ถ้าสถาบันการเงินที่ตนบริหารต้องล้มลง
การป้องกันความเสี่ยงจากบรรษัทภิบาลในระดับอื่นๆ จะทำได้ยากกว่าการกำหนดผลตอบแทนของผู้บริหาร เพราะจะไม่สามารถกำหนดกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนได้ การแก้ปัญหาความเสี่ยงจากบรรษัทภิบาล ต้องอาศัยการจัดโครงสร้างระบบผลประโยชน์และแรงจูงใจ หรือ incentive structure ให้เหมาะสม มากกว่าที่จะใช้กฎเกณฑ์ควบคุม ทำอย่างไรที่ทั้งผู้ถือหุ้น คณะกรรมการ และผู้บริหาร จะคำนึงถึงผลประโยชน์ในระยะยาวของบริษัทเป็นที่ตั้ง และคณะกรรมการที่ทำหน้าที่แทนผู้ถือหุ้นจะต้องมีความรู้และความเข้าใจในธุรกิจของบริษัท สามารถตัดสินใจบนพื้นฐานที่ถูกที่ควรได้อย่างเต็มที่ ไม่โอนเอียงตามผลประโยชน์ที่ตนได้รับ
ความเสี่ยงจากบรรษัทภิบาลในสถาบันการเงินไทยอาจจะไม่รุนแรงเหมือนกับในประเทศที่เกิดวิกฤติการเงินรอบนี้ และอาจจะมาในรูปแบบที่ต่างออกไป ในประเทศไทยความเสี่ยงจากบรรษัทภิบาลดูจะรุนแรงที่สุดในสถาบันการเงินกึ่งรัฐ เพราะมีโอกาสที่จะถูกแทรกแซงโดยภาครัฐได้ นอกจากนี้คณะกรรมการของสถาบันการเงินกึ่งรัฐมักจะประกอบด้วย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิหรือข้าราชการที่ขาดความเข้าใจในธุรกิจการเงิน จึงมักให้ความสำคัญกับเรื่องกระบวนการมากกว่าประเด็นทางธุรกิจ หรือมุ่งที่จะตัดสินใจแบบเสมอตัว ไม่กล้าตัดสินใจที่จะรับความเสี่ยงทางธุรกิจที่เหมาะสมกับผลประโยชน์ระยะยาวขององค์กรได้อย่างทันกาล  วิกฤติการเงินโลกรอบนี้ได้ปลุกให้ทั้งโลกตื่นขึ้นมาให้ความสนใจกับความเสี่ยงจากบรรษัทภิบาลในสถาบันการเงิน แต่ความเสี่ยงจากบรรษัทภิบาล เป็นความเสี่ยงสำหรับธุรกิจทุกประเภท บริษัทใดไม่เคยสนใจเรื่องความเสี่ยงจากบรรษัทภิบาลคงต้องเริ่มตรวจสอบว่าทั้งผู้ถือหุ้น คณะกรรมการ และผู้บริหารในบริษัทของท่าน มีโครงสร้างแรงจูงใจและมีความรู้ความสามารถที่จะมุ่งคำนึงถึงผลประโยชน์ระยะยาวของบริษัทเป็นหลักหรือไม่ อย่าปล่อยให้ผลประโยชน์แฝง หรือความไม่รู้เท่าทันมาเพิ่มความเสี่ยงของบริษัทโดยไม่ตั้งใจ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น