วันจันทร์, พฤศจิกายน 02, 2552

ศิลปะแห่งการท่องเที่ยว (โดยไม่ต้องเที่ยว)

เคยไหม ที่หลังจากได้เดินทางท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆ แล้ว คุณกลับรู้สึกแย่กว่าก่อนออกเดินทาง
หลายครั้งความรู้สึกแย่ๆ เหล่านั้นอาจจะมาจากประสบการณ์อันไม่พึงประสงค์ที่คุณได้รับจากการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินดีเลย์ เที่ยวบินถูกยกเลิก กระเป๋าเดินทางหาย ถูกล้วงกระเป๋า โรงแรมไม่หรูหราอย่างที่คาดหวังไว้ สภาพอากาศขมุกขมัว นอกจากคุณจะไม่ได้รู้สึกดีขึ้นแล้ว คุณกลับพบว่า การท่องเที่ยวได้ดูดพลังไปจากจิตวิญญาณของคุณอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว
“ทำไมเราถึงรู้สึกแบบนั้น”......ไม่ต้องไปไหนไกลก็สุขได้
ดร.เคิร์ก ไบรอน โจนส์ (Kirk Byron Jones) ผู้เขียนหนังสือ Holy Play: The Joyful Adventure of Unleashing Your Divine Purpose กล่าวว่า “แม้การเปลี่ยนบรรยากาศ จะช่วยให้เรารู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นได้ก็จริง แต่การเปลี่ยนบรรยากาศก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นนัก เพราะการพักผ่อนที่ช่วยสร้างความกระปรี้กระเปร่าให้แก่ชีวิตอย่างแท้จริงนั้น เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่อยู่ข้างในตัวเรามากกว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสิ่งภายนอก ที่อยู่รอบตัวเรา”
ซาวีเยร์ เดอ เมสเตรอ (Xavier de Maistre) กวีชาวฝรั่งเศสผู้โด่งดังในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 จากการ
ตีพิมพ์บันทึกการเดินทาง ที่แปลกประหลาดที่สุดในโลก ภายใต้ชื่อว่า บันทึกการเดินทางไปรอบๆ ห้องนอนของฉัน (Voyage autour de machambre) คือบุคคลแรกที่ได้พิสูจน์ให้โลกเห็นอย่างเป็นทางการว่า ความรู้สึกเป็นสุขจากการท่องเที่ยวไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานที่ หากแต่อยู่ที่สภาพจิตใจในขณะนั้น หากเราสามารถเปิดใจให้กว้าง และสร้างสภาวะแห่งการท่องเที่ยวขึ้นในจิตใจได้แล้วละก็ เราจะสามารถมีความสุขได้โดยไม่ต้องเดินทางไปไหนไกล เขากล่าวว่า “คนเรามักจะมองว่าทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลเป็นเรื่องน่าเบื่อกันจนเป็นนิสัย เราจึงเลิกใส่ใจสิ่งละอันพันละน้อยรอบตัว และพลาดโอกาสที่จะเห็นความสวยงามเหล่านั้นไปอย่างน่าเสียดาย” เมื่อได้อ่านบันทึกของเขา หลายคนอาจจะมองชายผู้นี้ว่าเป็นมนุษย์แปลกประหลาดหรือถึงขั้นเสียสติ แต่ลึกๆ แล้วคงจะไม่มีใครปฏิเสธว่า การที่เดอ เมสเตรอ สามารถมองสิ่งที่ตนเองคุ้นชิน ให้กลายเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่น่าตื่นเต้นและสวยงามได้ทุกครั้งนั้น ทำให้เขากลายเป็นมนุษย์ที่น่าอิจฉาที่สุดในโลก
8 วิธีสร้างสภาวะแห่งการท่องเที่ยวขึ้นในจิตใจ เพื่อให้คุณรู้สึกสุข ได้โดยไม่ต้องไปไหน
1. รู้จักปิดสวิตช์บ้าง อย่าใช้ชีวิตในโหมดมนุษย์ออฟฟิศ ที่พกงานติดตัวไปด้วยทุกที่ทุกเวลาโดยไม่ยอมตอกบัตร สลัดเรื่องงานออกจากหัวบ้าง เพราะ การพักผ่อนที่แท้จริงจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากคุณไม่ลดการทำกิจกรรมที่ดูดพลังจากตัวคุณ โดยเฉพาะการครุ่นคิดเรื่องเครียดๆ เช่นเรื่องงาน
2. ละเลียด แทนที่จะ เร่งรีบ โยนออร์แกไนเซอร์ทิ้งไป หันหน้าปัดนาฬิกาไปทางอื่น คว่ำปฏิทินลง เลิกกังวลถึงสิ่งที่คุณเพิ่งทำเสร็จไป เลิกหมกมุ่นกับสิ่งที่คุณจะทำในอนาคต และลืมเรื่องอื่นให้หมด แล้วหันมาใส่ใจกับปัจจุบันขณะให้มากขึ้น ธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์ก็คือ เรามักจะไม่ค่อยพอใจกับปัจจุบันขณะของตนเอง ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงเป็นทุกข์อยู่ตลอดเวลา ไม่ทุกข์กายก็ทุกข์ใจ เช่น หากเราถูกบังคับให้ยืนนานๆ เราย่อมอยากนั่ง แต่เมื่อได้นั่งสักพัก เราก็เริ่มกระสับกระส่ายอยากจะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เด็กๆ มักไม่พอใจ กับความเป็นเด็กของตนเอง เร่งวันเร่งคืนอยากโตเป็นผู้ใหญ่ แต่เมื่อเราโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ สมใจ มีใครบ้างที่ไม่เคยบ่นว่า “อยากกลับไปเป็นเด็กเหลือเกิน” ความทุกข์อีกอย่างหนึ่งของมนุษย์ก็คือ เรามักจะรู้สึกเบื่อกันอยู่เสมอๆ มากน้อยต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ปุถุชนแล้ว ย่อมไม่มีใครที่ไม่เคยประสบพบเจอกับ “ความเบื่อหน่าย” ครั้งต่อไปที่ต้องเผชิญหน้ากับความเบื่อหน่าย แทนที่จะแก้ปัญหาด้วยการ “ฆ่า” เวลา โดยรีบเร่งทำสิ่งต่างๆ เพื่อให้ทุกอย่างจบลงและผ่านไปอย่างรวดเร็วที่สุด เพียงเพื่อให้ขึ้นชื่อว่าได้ทำสิ่งนั้นๆ แล้ว ลองหันมา “ฆ่า” ความเบื่อหน่ายด้วยการใส่ใจกับปัจจุบันขณะ และหาวิธีที่จะตักตวงจากสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นที่นี่และเดี๋ยวนี้ให้ได้มากที่สุด ดังที่ จอห์น รัสกิน (John Ruskin) ศิลปินอังกฤษผู้มีอิทธิพลอย่างยิ่งในยุควิกตอเรียกล่าวไว้ว่า “โลกนี้ยังมีอะไรอีกมากมายที่เรายังไม่ได้เห็น ขอเพียงเราเดินช้าลงสักหน่อย... ความสุขของมนุษย์นั้นไม่ได้อยู่ที่การก้าวไปข้างหน้า หากแต่เป็นการดำรงอยู่ในแต่ละขณะอย่างเต็มตื่นมากกว่า”
3. ปรนเปรอตัวเอง ถามตัวเองว่า ลึกๆ แล้วคุณอยากทำอะไรต้องการอะไร และอยากเห็นชีวิตของตัวเองเป็นอย่างไร แล้วลงมือทำสิ่งเหล่านั้นให้เกิดขึ้นที่นี่ เดี๋ยวนี้ แต่หากคุณรู้สึกเหนื่อยมากจนไม่อยากทำอะไรเลย ก็จงตามใจตัวเองด้วยการอยู่เฉยๆ แล้วดื่มด่ำกับความสุขจากการไม่ต้องทำอะไรเลยให้เต็มที่
ก่อนจะออกเดินทางเที่ยวไป ลองถามตัวเองว่า เพราะเหตุใดคุณจึงต้องการที่จะออกเดินทางไปยังที่ต่างๆ คุณรู้สึก “ขาด” อะไร และตั้งใจจะไป “ค้นหา” อะไรจากสถานที่เหล่านั้น แล้วพยายามหาหนทางเติมเต็มสิ่งที่คุณขาดเสียตั้งแต่วันนี้ เช่น แทนที่จะออกเดินทางรอนแรมเพื่อมองหาสถานที่ในฝันของคุณ ก็ทำบ้านของคุณให้กลายเป็นสถานที่ในฝันนั้นเสียเลย หลายๆ ครั้งความพึงพอใจในชีวิตก็มักจะมาจากสิ่งละอันพันละน้อย อย่างผ้าปูเตียงสีขาวแบบเดียวกับที่ใช้ในโรงแรม หรือโซฟาหนังตัวใหญ่ที่ทำให้คุณอยากทิ้งตัวลงไปทุกคืนเพื่ออ่านหนังสือดีๆ สักเล่มก่อนนอน
4. สวมวิญญาณศิลปิน เสพศิลป์เพื่อสร้างสุข เติมสิ่งดีๆให้ชีวิตด้วยการเสพศิลปะ หนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์จะสามารถมอบให้แก่ตนเอง ศิลปะทำให้จิตใจของมนุษย์ละเอียดอ่อนขึ้น จนกระทั่งสามารถหันกลับมา “ใส่ใจ” ในรายละเอียดที่เราไม่เคยใส่ใจมาก่อน และเข้าถึงความสวยงามของสรรพสิ่งได้อย่างแท้จริง จอห์น รัสกิน กล่าวว่า “ศิลปะทำให้มนุษย์รู้จัก ‘สังเกต’ แทนที่จะ ‘มองเพียงผ่านๆ’ ” เราจะเข้าใจได้ว่า เพราะเหตุใดสิ่งหนึ่งจึงงดงาม และเพราะเหตุใดเราจึงหลงรักสิ่งนั้น ก็ต่อเมื่อเรารู้จักมองสิ่งนั้นด้วยสายตาอันละเอียดอ่อน เช่นเดียวกับสายตาของศิลปิน จงสวมวิญญาณศิลปินมองหาความงดงามในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ รอบตัว แล้วดึงเอาความสวยงามเหล่านั้นมาเติมเต็มชีวิตในแต่ละวันของคุณ
5. เปิดบันทึกชีวิตหน้าใหม่ ลองเริ่มทำอะไรใหม่ๆ อะไรก็ได้ที่คุณไม่เคยทำมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ อย่างการลองชิมอาหารเมนูใหม่ หรือเรื่องใหญ่ๆ ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตที่เหลือของคุณ เช่น การตกลงใจสมัครเข้าเรียนปริญญาตรีอีกฉบับ ในสาขาวิชาที่คุณแอบหลงรัก แต่ไม่กล้าบอกใคร เพราะการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ มักสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ชีวิตได้เสมอ
6. ปลุกใจให้ตื่นจากความซ้ำซากจำเจ แซมวล เทย์เลอร์คอเลริดจ์ (Samuel Taylor Coleridge) กวีอังกฤษกล่าวไว้ว่า “แทนที่เราจะปลุกจิตใจให้ตื่นขึ้นจากความซ้ำซากจำเจ แล้วพุ่งความสนใจไปที่ความ
งดงามและความแปลกใหม่ของสิ่งที่อยู่รอบกาย อันเป็นสมบัติที่ไม่มีวันหมดไปของมนุษย์ เรากลับถูกความคุ้นเคยและความหมกมุ่นกังวลใจเกี่ยวกับเรื่องของตนเองครอบงำ จนกระทั่งเรามีตาที่มองไม่เห็น มีหูที่ไม่ได้ยินเสียง และมีจิตใจที่ไม่เคยรู้สึกรู้สา หรือเข้าอกเข้าใจสิ่งต่างๆ รอบกายเลย”
ด้วยเหตุนี้ศิลปะอย่างหนึ่งของการใช้ชีวิตก็คือ ความสามารถในการมองเห็นความงดงามและแปลกใหม่ในสิ่งที่ซ้ำซากจำเจ ด้วยการทำตามคำแนะนำง่ายๆ ของ มาดอนน่า (Madonna) ที่ว่า “Like a virgin, touched for the very first time.” คือ ไม่ว่าคุณจะทำอะไร จงทำราวกับว่ามันคือครั้งแรกสำหรับคุณ แม้ว่าคุณจะเคยทำสิ่งนั้นมาแล้วบ่อยแค่ไหนก็ตาม  คุณสมบัติที่จำเป็นที่สุด สำหรับการสร้างสภาวะแห่งการเดินทางขึ้นในจิตใจก็คือ ความสามารถในการเปิดใจให้พร้อมมองสิ่งเดิมๆ ในแง่มุมใหม่ๆ อย่างปราศจากอคติ โดยไม่ตัดสินหรือตีตราในใจไว้ก่อนว่า อะไรคือสิ่งแปลกใหม่ที่น่าสนใจ และอะไรคือความธรรมดาที่น่าเบื่อหน่าย แต่ค่อยๆ สัมผัสโลกอย่างตื่นตาตื่นใจ และศึกษาทุกซอกทุกมุมของสิ่งต่างๆ ด้วยความใส่อกใส่ใจ ราวกับว่านี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่คุณได้เห็นมัน แล้วคุณจะพบว่า ในสิ่งที่ธรรมดานั้นมีความวิเศษที่คาดไม่ถึงรอให้คุณค้นพบอยู่เสมอ
7. กลายร่างเป็น เจ้าหนูจำไม ด้วยการตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งละอันพันละน้อยรอบตัวเหมือนเด็กๆ แล้วใส่ใจกับการหาคำตอบให้แก่คำถามเหล่านั้น เพราะสิ่งที่จะเป็นแรงขับชั้นดี ซึ่งช่วยสร้างแรงบันดาลใจและช่วยให้บุคคลธรรมดาๆ กลายเป็นคนที่รุ่มรวยขึ้นในเชิงประสบการณ์ชีวิตก็คือ ความสงสัยใคร่รู้ ซึ่งเปรียบเสมือนน้ำมันเชื้อเพลิง ที่คอยหล่อเลี้ยงจิตใจของเหล่านักปราชญ์ นักคิด นักประดิษฐ์ และนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกทั้งหลายได้เสมอมา ไม่ว่าจะในยุคสมัยใด
8. กลับเป็นเด็กอีกครั้ง ถามตัวเองว่า นานเท่าไรแล้วที่คุณไม่ได้ปล่อยใจให้กลับไปคิดอย่างเด็กๆ
อีกครั้ง นานเท่าไรแล้วที่คุณลืมก้มลงมองน้ำหรือแหงนมองฟ้า แล้วตั้งคำถามตลกๆ กับตัวเองหรือคนใกล้ชิด เพราะมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับกองเอกสารบนโต๊ะ หน้าจอคอมพิวเตอร์ สิ่งที่คุณต้องรับผิดชอบ ความคาดหวังของผู้อื่น และปัญหาที่นอนเนื่องอยู่ในหัว ถ้าคำตอบของคุณคือ “นานมากแล้ว” ขอแนะนำให้คุณลองทิ้งตัวตน เลิกสนใจสายตาคนรอบข้าง แล้วทำตัวให้เหมือนเด็กๆ ดูบ้าง เช่น หยุดยืนพิจารณารายละเอียดของสิ่งที่เราเดินผ่านทุกวันอย่างสนอกสนใจ แม้ว่าจะถูกเพื่อนร่วมทางที่เดินผ่านไปมามองอย่างประหลาดใจ นั่งลงสเก็ตช์ภาพต้นไม้หน้าออฟฟิศอย่างตั้งอกตั้งใจ เพียงเพราะว่าเราเห็นว่ามันช่างงดงามเหลือเกิน ค่อยๆ ละเลียดเดินชมและทำความรู้จักสินค้าทุกชิ้นในซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้านอย่างตื่นตาตื่นใจ และชี้ชวนคนรักให้แหงนหน้าขึ้นมองก้อนเมฆที่เคลื่อนไหวอย่างช้าๆ แล้วก้มลงมองท่วงท่าของเต่าทองที่ค่อยๆ คลี่ปีกแข็งๆ ของมันออกด้วยความพิศวง ไม่ต่างจากที่คุณเคยทำสมัยเรียนอยู่ชั้นประถม
...แล้วคุณจะพบว่า ความสุขนั้นเกิดขึ้นได้ที่นี่และตรงนี้ ด้วยวิธีที่ง่ายกว่าที่คุณคิด.......
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.kbeautifullife.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น